วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

จานเบรก



เดือนที่ผ่านมา มีกระทู้ที่เกี่ยวกับระบบเบรกแทรกๆอยู่ในกระทู้กันมากนะครับ น่าสนใจทีเดียว เพราะระบบเบรกเนี่ย อย่าไปล้อเล่นกับมันเลยครับ มันมีผลต่อความปลอดภัยโดยตรงทั้งของตัวท่านเอง และเพื่อนร่วมถนนของท่านด้วย พึงระลึกเสมอนะครับว่า เมื่อทำรถให้มีกำลังแรงขึ้นแล้ว ต้องทำให้ความแรงนั้นมันควบคุมได้ ทั้งในแง่การทำให้รถมันทรงตัวอยู่บนถนนและในแง่ทำให้มันหยุดในเวลาที่ต้องการด้วย ก็เลยอยากจะเขียนในแง่ที่สองตามที่ว่าข้างต้นเสียหน่อย ชี้ชัดลงไปเลยว่าเรื่องจานเบรกเลยละกัน (ที่จริงรวบรวมขี้ปากคนอื่นมา แล้วมาเรียบเรียงใหม่) ในมุมมองที่เป็น Fact ของมันเสียหน่อย ส่วนเรื่องยี่ห้อไหน แบบไหน รุ่นไหน จะไม่ขอกล่าวถึง อยู่ที่วิจารญาณของท่านซึ่งเป็นเจ้าของรถเองนะครับ เขียนจากใจในมุมมองของผู้ร่วมชะตากรรมใช้ถนนเส้นเดียวกับท่าน….และ รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามเหมือนเดิมอีกเช่นเคยนะครับ ผู้ผลิตจานเบรกทุกชนิดในโลกนี้, ไม่ว่าจะออกแบบรูปร่าง มีร่อง มีรู ขนาดใหญ่-เล็ก ส่วนผสมของวัสดุที่ใช้, มีโจทย์ข้อเดียวกันก็คือทำอย่างไรจะจัดการเรื่องความร้อนที่เกิดขึ้นบนเบรกให้ได้ ความร้อนบนจากเบรกมีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการเบรกมากกว่าองค์ประกอบอื่นๆ ทีนี้มาคิดกันต่อว่า แล้วความร้อนมันมาจากไหนล่ะ แล้วมันมามากน้อยขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง ความร้อนจะเกิดจากการเปลี่ยนพลังงานกล (ที่เกิดจากการหมุนของล้อ/จาน) หรือที่เรียกว่า Kinetic Energyไปเป็นพลังงานความร้อน หรือที่เรียกว่า Thermal Energy กระบวนการนี้เค้าเรียกว่า Heat Conversion นักวิทยาศาสตร์เค้าทดลองและคำนวณเอาไว้เสร็จสรรพแล้วว่า เจ้า Kinetic Energy เนี่ย มันเป็นสัดส่วนโดยตรงกันกับ - น้ำหนักรถ (M) - ความเร็วของรถ (V) ดังนี้ ; Kinetic Energy = ½ MV2 ไม่ต้องไปสนใจกับสูตรมันมากก็ได้นะครับ ปวดหัวเสียเปล่าๆ แต่ถ้าเชื่อผมผมจะแปลให้ฟังว่า ถ้ารถวิ่งด้วยความเร็วหนึ่งหน่วย น้ำหนักหนึ่งหน่วย ต้องใช้พลังงานในการเบรก (ซึ่งจะเปลี่ยนไปเป็นความร้อน) สองเท่า ถ้ารถวิ่งด้วยความเร็วเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเท่า ต้องใช้พลังงานในการเบรกเพิ่มขึ้นเป็นสี่เท่า ฟังแล้วอยากลงไปถอดล้อดูจานเบรกตอนนี้เลยใช่ไหมครับ? แต่ยังไมต้องตื่นตระหนกมาก ปกติจานมันจะสามารถบรรจุความร้อนไว้ในตัวเองได้ระดับหนึ่ง ถ้าขับรถและเบรกแบบมนุษมนาปกติ ความร้อนที่เกิดจากการเบรกจะค่อยๆออกไปเมื่อปล่อยเบรกเอง แต่ถ้าต้องเบรกต่อเนื่องกันบ่อยๆ ที่ความเร็วสูงๆ ทีนี่ความร้อนมันจะคายออกมาไม่ทัน และความร้อนมันจะเกิดสะสมขึ้นมากจนจานมันไม่สามารถบรรจุความร้อนเอาไว้ได้หมด ทีนี้จะเกิดอาการที่เรียกว่า Heat Sink นึกภาพ Sink ที่อ่างล้างหน้าเวลาเราเปิดน้ำไว้ ถ้าท่อมันเล็กไป หรือมีอะไรไปตันทำให้ระบายไม่สะดวก จนอัตราการไหลของน้ำที่เปิดลงไปมันมากกว่าน้ำที่ระบายออก มันก็จะล้นออกมาทำให้พื้นเลอะเทอะเสียหาย ความร้อนก็สามารถล้นออกมาได้เหมือนกันตาม concept นี้ แต่ความร้อนที่ล้นออกมามันไม่เลอะเทอะ แต่มันจะถ่ายต่อไปยังผ้าเบรก สายเบรก น้ำมันเบรก น้ำมันเบรกก็พาความร้อนต่อไปที่ปั้มเบรก ทำให้มีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เบรก Fade หรือไม่ก็แตกไปเลย ตรงนี้คงมีคนอยากจะถามผมว่า อ้าวแล้วอย่างนี้เวลาความร้อนมันระบายออกจากเบรกตามปกติ มันก็ไปโดนส่วนอื่นๆด้วยเหมือนกัน มันมิเบรกแตกกันทั่วบ้านทั่วเมืองหรือ คำตอบคือไม่ครับ คำว่าล้นในที่นี้หมายล้นแบบที่ความร้อนมัน Transmit ไปตามชิ้นส่วนที่มันติดกับเหล็ก (จานเบรก) เนื่องจากธรรมชาติแล้ว โลหะจะนำพาความร้อนได้ดีกว่าอากาศครับ พูดง่ายๆคือถ้าความร้อนมันมากเกินที่จานมันจะรับได้แล้ว ส่วนที่เกินมันจะวิ่งไปตามโมเลกุลของเหล็กหรือวัตถุที่ติดกับจานเบรก มากกว่าวิ่งออกไปที่อากาศครับผม มาถึงตรงนี้แล้ว คงจะมองเห็นภาพแล้วนะครับ ว่าเรากำลังต่อสู้อยู่กับอะไร สั้นๆง่ายๆก็คือ Heat Sink ครับ เราไม่สามารถที่จะทำให้มันไม่เกิดความร้อนในขณะเบรกได้ (ทำไมถึงไม่ได้กลับไปอ่านตรงแถว Heat Conversion ข้างต้นอีกที) แต่เราทำให้ความร้อนมันออกไปจากจานในสัดส่วนเดียวกันกับความร้อนที่ใส่เข้าไปในจานได้ครับ วิธีแรกก็คือหาจานเบรกที่มันเหมาะสมกับสภาพการขับขี่มาใส่ หรือถ้าไม่อยากเสียเงิน วิธีที่สองก็คือเปลี่ยนพฤติกรรมในการเบรกให้มันเข้ากับเบรกที่เรามีอยู่เสีย เปลี่ยนแบบที่สองคงจะเปลี่ยนกันยาก ยิ่งชาว BMW ด้วยแล้วขับกันเบาๆไม่ค่อยมี หรือบางทีไม่อยากเบรกบ่อยแต่ถนนหนทางมันไม่เอื้ออำนวย ชนิดบ้านอยู่บนยอดเขา ออกไปในเมืองทีต้องขับรถลงเขาผ่านสี่สิบห้าโค้งอะไรทำนองนั้น ก็เอาเป็นว่าอยากจะเสียตังค์เปลี่ยนเสียก็แล้วกัน ถ้าอยากจะเปลี่ยนมาดูวิธีที่ผู้ผลิตจานเบรกเค้าหาวิธีที่ต่อสู้กับ Heat Sink อย่างไร และเค้าใช้วิธีการอะไร ตรงไหน อย่างไร จะได้เลือกซื้อใช้ให้ถูก ไม่ใช่แค่ไปคว้าเอาเหล็กดุ้นนึงมาใส่ ความร้อนก็ไม่ลด แต่ความแข็งแรงกลับลดลงไปแทน หรือบางทีไปเห็นแค่จานที่มันเจาะรูพรุนๆมาก็จะคิดว่ามันจะดีไปเสียหมด มันยังมีองค์ประกอบอื่นๆอีก แต่ที่จำเป็นและมีผลโดยตรงมีสองเรื่อง คือ วัสดุที่ใช้ และเรื่องรูปร่างและการออกแบบของจาน ว่ากันเป็นเรื่องๆไปเลยนะครับ
ภาพประกอบ Microstructure ของ Graphite ในเนื้อเหล็กที่มองผ่านกล้องขยาย 100 เท่า
เริ่มจากเรื่องวัสดุที่ใช้ก่อน ใครเป็นคนไม่ค่อยชอบอะไรที่ Technical มาก ข้ามไปเลยก็ได้ แต่ก่อนข้ามให้ทำความเข้าใจกับตัวเองแค่ว่า ไม่ใช่แค่ว่าเหล็กอะไรก็ได้สามารถนำมาทำเป็นจานเบรกได้ ข้อสรุปมันมีแค่นี้เอง ส่วนใครอยากจะรู้ว่าแล้วเหล็กชนิดไหนบ้างล่ะที่ใช้ได้ ก็จงอดทนอ่านต่อไป ผู้รู้ที่ผมไปจำขี้ปากเค้ามา เค้าบอกว่าเหล็กที่จะนำมาทำจานเบรกควรจะคุณสมบัติตามนี้เป็นอย่างน้อย ได้แก่ 1. เป็นเหล็กเหนียวชนิดสีเทา หมายถึงสีเนื้อของเหล็กนะครับ ไม่ใช่เหล็ก (ถูก) พ่นสีเทา เหล็กแบบนี้มีคุณสมบัติที่จะจัดการกับความร้อนและการสั่นของจานได้ดี (Vibration Absorption) เหล็กชนิดนี้จะบรรจุความร้อนในตัวมันเองได้มาก (โดยความร้อนไม่ล้น) และระบายความร้อนนั้นออกได้เร็ว 2. ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐาน SAE J431 G3000 ซึ่งกำหนดไว้ว่าต้องมี 2.1 ความแข็ง (hardness) ไม่ต่ำกว่า 187-241 ตามวิธีการวัดของ Brinell วิธีนี้คิดค้นโดยอีตา Dr. J. A. Brinell ชาวสวีเดน ใช้วัดความแข็งของทั้งเหล็ก Forged และเหล็ก Casting และเป็นวิธีวัดที่ยอมรับกันเป็นมาตรฐานมาตั้งแต่ปี 1900 แล้วครับ ใครอยากรู้ว่าวิธีการวัดแบบนี้เป็นอย่างไร ลองไป search หาดูเองละกันเพราะเดี๋ยวมันจะยืดยาวมากเกินไป 2.2 ความเหนียว (Tensile Strength) ต้องไม่ต่ำกว่า 30,000 psi ตัว Tensile Strength คือการทดสอบการรับแรงสูงสุดของเหล็กโดยที่ เหล็กไม่แตก และ/หรือ เหล็กไม่เปลี่ยนรูปร่างแบบถาวร (Yield Strength) Tensile Strength ของเหล็กสีเทาจะเริ่มที่ 20,000 psi หรือที่เรียกว่า Class 20 Iron. 2.3 โครงสร้างของ pearlitic microstructure จะต้องเทียบเท่า ASTM-247 Classificationอันนี้จนปัญญาที่จะหาคำไทยมาได้ แต่แบบเข้าใจง่ายๆก็คือเป็นจำนวนโครงสร้างของกราไฟต์ในเนื้อเหล็ก (หรือคาร์บอน) หลังจากผ่านกระบวนการเผาหรือให้ความร้อนแก่เหล็กจนถึงอุณหภูมิวิกฤต (Critical Temperature) และทำให้เย็นตัวลง ข้อนี้ใคร major ทาง Material Science ช่วยตรวจสอบแก้ไขถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องให้ผมด้วยนะครับ เพราะผมอ่านๆดูแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ASTM ย่อมาจาก American Society for Testing and Materials เป็นหน่วยงานที่ควบคุมและวัดค่ามาตรฐานของโลหะ คล้ายๆกับ SAE อะไรทำนองนั้น จบเรื่องคุณสมบัติของเนื้อเหล็กเท่านี้ ทีนี้มาเรื่องการออกแบบกัน ที่เคยเห็นๆกันก็จะมีไม่กี่แบบครับ ก็คือ แบบจานตัน (Solid Rotor) จานแบบมีร่องระบายตรงกลาง (Ventilated Rotor) จาน Oversized จานแบบเจาะรูที่หน้าจาน (Cross-drilled Rotor) จานแบบเซาะร่องที่หน้าจาน (Slotted Rotor) จานแบบสองชิ้น (Floating Rotor) บางอย่างอาจจะถูกออกแบบผสมออกมาตามข้างต้นเช่น จานแบบสองชิ้นที่มีร่องระบายตรงกลางและที่หน้าจานทั้งเจาะรูและทำ Slot ก็ว่ากันไป คนส่วนใหญ่จะเห็นว่าจานสองแบบแรก มัน Low-tech เสียนี่กระไร และจะมองว่าจานแบบที่เหลือมันเป็น Hi-performance Rotor ไปเสียหมด อาจจะจริง หรืออาจจะไม่จริงก็ได้ ผู้รู้เค้าบอกว่าให้ดูที่วัสดุที่ใช้ก่อนแล้วค่อยดูที่การออกแบบ เพราะวัสดุจะมีผลต่อการจัดการกับความร้อนมากกว่าลักษณะการออกแบบของจานครับ ยกตัวอย่าง จานตันที่ใช้เหล็ก Class 20 ขึ้นไป ย่อมดีกว่า จาน Cross-drilled ที่ใช้เหล็กต่ำกว่า Class 20 ลงมาครับ ส่วนจะทราบได้อย่างไรว่าเหล็กมันเป็นแบบไหน ก็ลองหาข้อมูลดูครับ ของดีๆ ส่วนมากเค้าบอกหมดแหละครับว่ามีที่มาที่ไปยังไง แต่คงไม่ต้องถึงกับขอยืมจานที่ร้านเค้าส่งไป lab ทดสอบก่อนนะครับ
ทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่า คำอธิบายเรื่องรูปร่างตรงนี้ให้ถือว่า Material ที่ใช้ทำเป็นจานแบบนั้นๆอยู่ในเกณฑ์เทียบเท่ามาตรฐานแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นแบบไหนดีกว่า หรือมีคุณสมบัติเฉพาะตัวอย่างไร ก็ถือว่าเป็นไปตามรูปร่างของมันโดยตรงนะครับ อีกข้อนึง ทำความเข้าใจกับตนเองก่อนว่า คำว่าดี กับคำว่าเหมาะสม มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่บังเอิญว่ามันถูกวางไว้ใกล้กันไปหน่อยเท่านั้นเอง อยู่ที่ว่าใครจะมองที่มุมไหน เหมือนกับมีรองเท้าเบอร์ 10 วางอยู่คู่นึง คนเท้าเบอร์ 11 มาลองก็จะบอกว่าคับจังเลย คนเท้าเบอร์ 9 มาลองก็จะบอกว่าไหงหลวมอย่างงี้ น่าขำมากทั้งๆที่รองเท้าคู่เดียวกัน และจะน่าขำยิ่งกว่าถ้าคนสองคนนั้นมานั่งเถียงกันว่าตกลงใครพูดจริงกันแน่ เมื่อเข้าใจพร้อมแล้ว เริ่มเลยครับ มาที่จานตันกันก่อน แบบนี้จะเรียกว่า Solid Rotor ชื่อก็ตามนั้น เป็นเหล็กตันๆเรียบๆ เห็นได้ในรถมาตรฐานทั่วไป ถามว่าดีไหม มันดีเหมาะสมกับรถ standard ทั่วไป และดีเท่าที่โรงงานเค้าออกแบบมาแล้วว่ามันทำให้รถคันนั้นๆ น้ำหนักขนาดนั้นที่ถูกขับเคลื่อนไปด้วยแรงม้าขนาดนั้น หยุดได้ คุณคงไม่มีโอกาศที่จะต้องทำให้รถหนึ่งร้อยแรงม้าให้หยุดตอนความเร็วสองร้อยห้าสิบ กม/ชม ใช่ไหมครับ คำตอบคือใช่ครับ เพราะมันไม่มีวันที่จะวิ่งขึ้นไปได้เร็วขนาดนั้นให้คุณลองเบรกเล่นหรอกครับ หรือไม่จริง? ทีนี้มาที่จานแบบมีร่องระบายตรงกลาง หรือที่เรียกกันว่า Ventilated Rotor หรือเรียกกันว่า Vent Rotor สั้นๆก็ได้ จานแบบนี้ค่อนข้าง better-than-average นิดนึง คำว่า Ventilate ชื่อมันก็แปลตรงตัวอยู่แล้ว แปลว่าการหมุนเวียนของอากาศ จานแบบนี้จะเหมือนกับเอาจานตันลองแผ่นประกบกัน โดยทำให้มีช่องว่างระหว่างจาน ตรงช่องว่างระหว่างจานนี้จะมีส่วนที่ยึดจานเอาไว้ ส่วนที่มันยึดกันไว้ถูกออกแบบให้เป็นรูปร่างของช่องอากาศต่างๆ สุดแท้แต่ค่ายไหนคำนวณออกมามามันช่วยทำให้อากาศ (ร้อน) ออกมาได้เร็วที่สุด ผมเน้นอีกทีว่ามันจะระบายอากาศร้อน “ออกมา” นะครับ ไม่ได้เป็นช่องสำหรับให้อากาศเย็น (กว่า) เข้าไปอย่างที่บางคนเข้าใจ อากาศที่เย็นกว่าจะถูก “ดูด” เข้าไปจากด้านในของจาน (ด้านที่ติดกับดุมล้อ) และจะถูกเหวี่ยงออกมาด้านขอบจาน ข้อดีของแบบนี้คือหน้าจานจะมีพื้นที่สัมผัสกับผ้าเบรกได้มาก กว่าแบบ slot หรือ แบบ cross-drilled การเบรกจึงดีกว่า ข้อเสียคือ factor ที่จะทำให้ความร้อนจะถูกลดลงจะได้มาจากอากาศที่เข้ามาระบายอย่างเดียว แต่ตราบใดที่มีลมวิ่งผ่านอยู่ระหว่างช่องตรงกลางเมื่อนั้นก็ไม่มีปัญหา รูปร่างของช่องอากาศของส่วนที่ยึดกันไว้ มีหลายแบบตามที่กล่าวข้างต้น ถ้าแบ่งเป็นประเภทใหญ่ก็มีสองแบบได้แก่ - ลายช่องตรง (Straight Vanes) - ลายจุด (Pillar Vanes) - ลายช่องไม่ตรง (Curved Vanes) หรือลายช่องโค้ง ก็อาจจะถูกออกแบบไปอีก เป็น ลายช่องโค้งเท่าๆกัน (Traditional curved vanes) แบบแบบผสมคละลาย (Convergent vanes) ลายช่องรูปเพชร หรือที่เรียกว่า ลายอุ้งเท้าจิงโจ้ (Kangaroo Paw Vanes) อันนี้ทางฝั่ง Aussies เค้าคิดด้นขึ้นมาก็เลยตั้งชื่อไว้แบบนั้น ถ้าพี่ไทยเราคิดได้เอง ชื่อคงออกมาว่าลายอุ้งเท้าหมาหลังอาน อะไรทำนองนั้น รูปร่างของช่องอากาศนี้เป็นสิขสิทธิ์เฉพาะของบริษัทนั้นๆนะครับ สุดแท้แต่ว่าเค้าคำนวณออกมาแล้วเห็นว่ามันช่วยรีดลม ไล่ลม ออกมาได้ดีที่สุด ไปลอกเลียบแบบไม่ได้ โดนฟ้องหูตูบ อย่าถามผมเลยว่าลายแบบไหนดีสุด เพราะทุกเจ้ามันบอกว่าลายของมันดีสุดทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเอาแบบเห็นได้จับต้องได้ และเถียงไม่ได้ ก็ขอบอกว่าแบบลายตรงจะดีที่ว่ามันไม่จำเป็นต้องแยกเป็นซ้าย-ขวา ให้มันยุ่งยาก สลับใส่ข้างไหนก็ได้ แต่แบบช่องลวดลายพิศดาร มันต้องแยกเป็นซ้าย เป็นขวา เพราะลายมันบังคับ Rotation ของจานอยู่ (อย่าไปนึกภาพเปรียบเทียบกับ Rotation ของยางที่มันสลับเอาด้านในมาเป็นด้านนอกได้นะครับ จานเบรกใช้ได้ด้านเดียวครับ) เวลาใครจะสั่งซื้อจานแบบนี้ข้างเดียว อย่าลืมบอกคนขายเค้าไปให้ชัดว่าต้องการข้างซ้าย หรือข้างขวานะครับ
คงมีแค่นี้ มาต่อกันที่แบบอื่นบ้าง ผมขอรวม Cross-drilled กับ Slotted Rotor เอาไว้ด้วยกันเลยนะครับ เพราะเบื้องหลังของมันคล้ายกันมาก ผมติดเรื่องนี้อยู่ประมาณอาทิตย์นึง เพราะเขียนแล้วมันเรียบเรียงยากมากที่จะทำให้เข้าใจได้ว่ามันดีอย่างไร อยากจะสรุปออกมาว่า มันสร้างข้อเสียเพื่อที่จะทำให้เกิดข้อดีก็ไม่เชิงนัก แต่ก็คล้ายๆ เอาแบบนี้ละกัน ผมขอท้าวความหน่อยละกันว่า เรากำลังพูดกันถึงเรื่อง Heat Sink ซึ่งประเด็นหลักมันอยู่ที่ว่าทำอย่างไรให้อัตราความร้อนที่บรรจุเข้าไปในจาน (ที่เกิดจากการเบรก) มันเป็นสัดส่วนเท่ากับ หรือไม่มากกว่าอัตราความร้อนที่ถูกระบายออกไป และ/หรือ ไม่มากไปกว่าความสามารถของจานที่มันจะรับความร้อนได้จนถึงจุด Heat Sink หลับตานึกภาพความเป็นไปได้ออกมา ก็คงเป็นไปตามนี้ 1. ทำให้จานบรรจุความร้อนได้มากขึ้น ถ้ามองแค่ตรงนี้ก็คงสรุปได้ว่าจานยิ่งใหญ่ ก็จะยิ่งบรจุความร้อนได้มากกว่าและความร้อนมีพื้นที่กระจายตัวไปบนจานได้มาก (แทนที่มันจะวิ่งกระจายไปตามส่วนอื่นๆที่ติดกับจาน) ซึ่งก็ถูกต้อง แต่ เมื่อจานใหญ่ขึ้นพื้นที่ที่ผ้าเบรกสัมผัสกับจานก็มากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งพื้นที่สัมผัสมีผลต่อความร้อนที่เพิ่มขึ้นโดยตรง ซึ่งตรงนี้ตรงนี้ต้อง balance เอาไว้ให้ดีนะครับ ข้อนี้สรุปได้สั้นๆว่า จานใหญ่ => บรรจุความร้อนได้มาก=> ความร้อนกระจายตัวออกไปบนจานกว้างมาก=> ความร้อนระบายออกได้เร็ว=> heat sink เกิดช้า พอพูดถึงเรื่องผิวสัมผัสแล้วก็มีประเด็นข้อถัดไปคือ 2. ทำให้ผิวสัมผัสของจานเบรก/ผ้าเบรกน้อยลง นี่คือคำอธิบายของจานแบบ Cross-drilled กับ Slotted Rotor ในเมื่อเนื้อจานมันถูกเจาะ/เซาะทิ้งไป พื้นที่สัมผัสมันจะน้อยลงและผลที่ตามมาก็คือความร้อนที่เกิดจะน้อยลง แต่ตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่ามันจะเบรกอยู่นะครับ เมื่อพื้นที่การจับน้อย (เพื่อวัตถุประสงค์ในการลดความร้อน) ก็ควรพิจารณาเรื่องคาลิปเปอร์ให้มันประสิทธิภาพในการจับมากขึ้นด้วยนะครับ มันจึงจะสมดุลกันแล้วมันจะเบรกอยู่
มาต่อเรื่อง Cross-drilled กับ Slotted Rotor เลยนะครับ มาดูกันเป็นข้อๆว่าเบื้องหน้าเบื้องหลังข้อเท็จจริงของมันเป็นอย่างไร 1. ลดพื้นที่สัมผัส ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการลดความร้อนโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีของจานเบรก/ผ้าเบรก เกริ่นไปภาคที่แล้ว แล้วนะครับว่าข้อดีตรงนี้ มันเกิดข้อเสียที่ต้องไปทำการบ้านในส่วนของคาลิปเปอร์ (และผ้าเบรก) ต่ออย่างไร จากประสพการณ์ที่เห็นส่วนใหญ่จะใช้คาลิปเปอร์ที่ใหญ่ขึ้นเพิ่มแรงบีบ และ/หรือใช้ประกอบกับผ้าเบรกชนิดที่มีส่วนประกอบของสารเพิ่ม friction ที่ผิวผ้าเบรก ฟังแล้วงงนะครับว่า แล้วอย่างงี้ไปลดด้านนึง แล้วกลับไปเพิ่มอีกด้านนึงให้มันเสียเวลาทำไม ไม่ต้องงงครับ การ set แบบนี้จะดีมากสำหรับพวกรถแข่งในสนาม ซึ่งรถแบบนั้นไม่มีการมาเบรกอ้อยอิ่งให้ความร้อนมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รถแบบนั้นอาจจะมาทางตรงที่เกือบสองร้อย กม/ชม พอถึงหัวโค้งประเภท sharp มากๆหน่อย กระทืบเบรกตูมเดียวจุดที่ mark ไว้ แล้วปล่อยเลย (ผมใช้กิ่งไม้ปักเอาไว้เวลาซ้อม คุณปุ๋ย-S14 บอกว่าชอบใช้กรวยยาง) แบบนี้ความร้อนอาจจะเกิดมากตอนกระทืบ แต่ช่วงที่เกิดมันน้อยประกอบกับจานไม่มีพื้นที่ไม่เอื้ออำนวยให้มันเกิดมากเท่าไหร่ พอออกจากโค้งก็เย็นพอดีครับ แต่ถ้าจาน/ผ้าเบรกแบบปกติ ตูมเดียวไม่อยู่แน่ ต้องกดเลี้ยง heel & toe ตามโค้งไปเรื่อยๆให้รถมันเบาลง ถึงความร้อนก็ไม่เกิดปุปปับ แต่เกิดน้อยๆแต่ทบไปเรื่อยๆ พอถึงปลายโค้งเบรกแตกพอดี 555 โค้งแบบนี้ heel & toe ใช้ไม่ได้ผลหรอกครับ 2. ลดน้ำหนัก ไม่ได้หมายถึงน้ำหนักรวมของตัวรถนะครับ เนื้อเหล็กที่หายไปไม่กี่สิบกรัมคงไม่ได้มีผลต่อน้ำหนักรถเท่าไหร่ มันจะหมายถึงน้ำหนักของจานที่สัมพันธ์กับแรงเหวี่ยงจากศูนย์กลาง ( Centrifugal force) ของการหมุนของมัน วัตถุที่ “หนัก”กว่าย่อมมี stability ในการหมุน”น้อย” กว่าวัตถุที่เบากว่า ซึ่งเป็นสาเหตุของการแกว่งของจาน (rotational inertia) 3. ช่วยปรับสภาพผิวผ้าเบรกให้เรียบอยู่ตลอดเวลา (pad resurfacing) ข้อนี้อ่านแล้วไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เอาเป็นว่าร้องไห้ก่อนแล้วค่อยหัวเราะละกันนะครับ คือมันเป็นแบบนี้ ตรงขอบรู และ/หรือ ขอบ slot มันจะค่อนข้างคม ซึ่งมันจะกัดผ้าเบรกตลอดเวลา ประมาณกันว่าผ้าเบรกมันจะหมดเร็วกว่าปกติ แต่ข้อดีจากที่มันกัดล้างผลาญแบบนั้นก็คือหน้าผ้าเบรกมันจะเรียบและแนบสนิทกับจานเบรกตลอดเวลา การแนบกันของมันบอกถึงประสิทธิภาพในการเบรกครับ ตอนนี้อยากจะหัวเราะก็เชิญได้ แบบ slotted จะมีแนวโน้มช่วย resurface ผ้าเบรกได้ดีกว่าแบบ cross-drilled ครับ 4.ช่วยระบาย gas ร้อนที่เกิดที่ผิวจาน หรือภาษา technical หน่อยเค้าเรียกว่า “floated out-gassing” ตรงนี้สำคัญ ผมคาดว่ามีคนอีกมากที่เข้าใจว่ารูเหล่านั้นเอาไว้ให้อากาศที่เย็นกว่ามันเข้าไป มันมีเข้าไปบ้าง แต่ไม่ใช่สาระสำคัญของมัน เรื่องจริงก็คือช่วยระบาย gas ร้อนที่เกิดที่ผิวจาน เวลาเบรกจะเกิดความร้อนเหล็กและผ้าเบรกจะทำปฏิกิริยากันทำให้เกิด gas บนผิวจาน ถ้าไม่มีรูหรือร่อง gas มันไปไหนไม่ได้ มันก็จะพยายามดันผิวผ้าเบรกให้ห่างจากจาน ถ้ามีรู/ร่อง มันก็จะวิ่งลงรู/ร่อง ไป อาการแบบนี้คงเคยได้ยินบ่อยๆอย่างที่เค้าเรียกว่าเบรกมัน fade ล่ะครับ ถ้าเป็นแบบนี้ประสิทธิภาพการเบรกลดลงแน่ๆ ขีดเส้นใต้สองเส้นอีกทีไว้ครับว่า การแนบกันของจานและผ้าเบรก เป็นสาระสำคัญต่อประสิทธิภาพการเบรกครับ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นอีกข้อนึงที่อธิบายว่าทำไมเวลาเปลี่ยนผ้าเบรก ควรเปลี่ยนจานเบรก หรือควรเจียรจานด้วย และควรทำ bedding ตามขั้นตอนทุกครั้งเมื่อเปลี่ยนจานและผ้าเบรกด้วย เรื่อง bedding ทำอย่างไรของ search กระทู้เก่าดูครับ เคยลงเอาไว้แล้ว ข้อเสียที่ทำให้เกิดข้อดี หรือข้อดีที่ได้มาจากข้อเสียคงจำแนกออกมาได้แค่นี้ ส่วนค่ายไหนจะใช้ slotted ค่ายไหนจะใช้เป็น cross-drilled อันนี้ก็แล้วแต่เทคโนโลยี่ของใคร บ้างก็บอกว่า slotted ดีกว่าที่ไม่ต้องกังวลเรื่องร้าวตามขอบรู บ้างก็บอกว่า cross-drilled มันระบายได้ดีกว่า slotted (ซึ่งอันนี้จริง) แต่อายุการใช้งานมันสั้นกว่า ชอบร้าวตามขอบรูเป็นประจำ ตัดสินลำบากนะครับ แต่ Porsche เลือกที่จะออกแบบระบบเบรกของเขาออกมาเพื่อหยุดแรงม้าโหดๆทั้งหลายของเค้าโดยใช้ cross-drilled ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่โดยเรียกว่า Porsche Ceramic Composite Brake หรือ PCCB ลองรับเอาไว้พิจารณาดูนะครับ สำหรับ BMW หรือ MB หรืออื่นๆ ผมส่วนมากจะฟังหูไว้หู แต่ถ้าเป็นอะไรของ Porsche ผมเชื่อหมดใจครับ
ทีนี้ ลองมาดูการออกแบบรูปร่างของรูกัน มี Reference อันนึงเค้าบอกว่ารูเนี่ย ไม่ใช่ว่าอยู่ๆจะเจาะมันลงไปได้ การออกแบบรูปร่างที่ดี (หมายถึงรูปร่างของรูเลยนะครับ ไม่ใช่รูปร่างการเรียงตัวของรู) สามารถลด stress ที่เกิดขึ้นที่ขอบรูในขณะเบรกได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดการ crack อ่านดูแล้วก็น่าศรัทธาแต่ไม่ถึงกับเชื่อหมดใจ เพราะการที่เจาะลงไป stress มันเกิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าจะบอกว่า “ลด” การ crack ที่ขอบรูก็อาจจะเปลี่ยนใจเชื่อ ลองดูทีละอันละกันนะครับ รู้ไว้ใช่ว่า รูปร่างของรูมันมีดังนี้ ดูรูปประกอบนะครับ 1. Straight Drilled Hole แบบนี้เค้าบอกว่า stress จะเกิดมากสุด และเกิดเฉพาะจุดซึ่งจะสร้างความเสียหายแก่ตรงนั้นมาก แบบนี้เห็นได้ตามจาน cross-drilled บ้านๆทั่วไป 2. Countersunk Hole แบบนี้ ตรงปากจะเป็น Taper ดีขึ้นมาหน่อย ถึงความร้อนเกิดหลายจุดแต่มันจะเกิดน้อยและกระจายออกไป ไม่ทำให้เสียหายเน้นที่จุดใดจุดหนึ่งมาก 3. Radius Hole แบบนี้เป็นโค้งๆตามรูป ดีกว่า Countersunk Hole ขึ้นมาหน่อย 4. Chamfered Hole แบบนี้เด็ดสุด ไม่เกิด stress เลย (แหงล่ะ reference ที่ผมเอามา มันเป็นเจ้าของสิขสิทธิ์รูแบบนี้) สรุปแล้วก็คือ จานแบบนี้ช่วยกำจัดการเกิดความร้อนที่ต้นเหตุ คือทำอย่างไรให้ความร้อนลงไปที่จานน้อยลง มากกว่าที่จะ focus ไปที่การปล่อยให้ความร้อนมันลงไปก่อน (โดยไม่ล้น) แล้วไปหาทางระบายที่ปลายเหตุครับ
" ขยับมาที่ Two-piece Rotor เลยนะครับ แบบนี้ถือว่าเป็นการออกแบบที่ Advance ที่สุดของจานเบรกในขณะนี้ ที่รวมเอาลักษณะและคุณสมบัติในการต่อสู้กับความร้อนในทุกแบบที่พูดถึงในตอนแรกๆมารวมเอาไว้ในอันเดียวกัน เช่น มีขนาดใหญ่ ถึงใหญ่มาก (ไม่ต้องไปเที่ยวหาจาน two-piece ที่เล็กกว่า 300 mm ให้เสียเวลา) และส่วนใหญ่จะมาเป็น cross-drilled และ/หรือ slotted มาเลย แต่ตรงนี้ยังไม่ใช่ feature หลักของมัน "Feature หลักของมันคือ จานแบบนี้จะประกอบขึ้นมาจากวัสดุสองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นจานเบรกส่วนที่สัมผัสกับผ้าเบรกจริงๆ และอีกส่วนหนึ่งคือส่วนที่เป็นดุมที่ติดกับล้อ (Hub หรือ Hat) ทั้งสองส่วนนี้จะยึดติดกันโดยใช้น๊อตร้อยยึดเอาไว้ แนวคิดการออกแบบแบบนี้จะคล้ายๆกับ concept ล้อแม็กแบบสองชิ้น/สามชิ้น ที่สามารถแยกใช้วัสดุในแต่ละส่วนตามลักษณะการทำงานจริงของมันได้ซึ่งช่วยในเรื่องลดน้ำหนัก และคล้ายๆกับแนวคิดในเรื่องแผ่นครัช (ครัชในเกียร์นั่นแหละครับ) ที่ใช้ระบบการให้ตัวของสปริงช่วยให้จานครัชกดและจับลงไปบนฟลายวีลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนใหญ่ ส่วนที่เป็นจานจะเป็นเหล็กเหมือนจานทั่วๆไปตามปกติ หรือบางทีเป็นส่วนผสมของ Ceramic แบบของ Porsche เค้า แต่ส่วนที่ดุมจะเป็นวัสดุชนิดอื่นเช่น อลูมมิเนียม หรือ แมกนีเซียมผสม เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ที่ได้ในเรื่องน้ำหนัก (ที่เกียวกับ Centrifugal force) ที่ลดลง ประโยชน์ข้อที่สองก็คือ ป้องกันอาการจานคดหรือการเปลี่ยนรูปร่างแบบถาวรบนผิวจาน (Warp) ซึ่งเป็นสาเหตุของเบรกสั่นได้ เนื่องจากตรงจุดที่จานและ hub ที่ถูกยึดไว้ด้วยกันจะสามารถให้ตัวได้ไปตามแรงที่เรียกว่า Up-sprung Weight ในขณะที่มีแรงจากคาลิปเปอร์มากระทำต่อตัวจาน ให้ตัวได้ตอนที่อุณหภูมิสูงมากๆนะครับ ไม่ใช่ให้ตัวแบบเอามือจับโยกไปโยกมาได้ง่ายๆ จึงทำให้จานไม่สั่นหรือบิดหรือเปลี่ยนรูปแบบถาวรเมื่อได้รับความร้อนสูงๆแบบจานแบบชิ้นเดียวที่จานทั้งแผ่นถูกล็อกตายเอาไว้ ขออนุญาติพูดถึงเรื่อง brake warping แทรกตรงนี้หน่อยนึงนะครับWarp ก็คืออาการที่จานมันบิดหรือผิวจานมันไม่เรียบเสมอกัน (thickness variation) นั่นแหละครับ ถ้ามีอาการแบบนี้จะรู้สึกการสั่นขึ้นมาได้ถึงแป้นเหยียบเบรกเลยทีเดียวล่ะครับ ยังไงจึงจะเรียกว่า thickness variation เอกสารอ้างอึงเค้าบอกว่าต้องมีความแตกต่างของจุดที่ห่างออกไปจาก center line เกินกว่า 0.007 นิ้ว (0.1778 mm) ครับ สาเหตุของการ warp มีหลายอย่าง แต่ “เกือบ” ทั้งหมดมีสาเหตุเริ่มมาจากจานมัน overheat ก่อนอาจเกิดจากการที่จานเบรกมีขนาดไม่เหมาะสม หรือจานที่ถูกเจียร์ออก และ/หรือถูกใช้งานจนบางเกินไป หรือจานเหมาะสมแล้วแต่พฤติกรรมการเบรกไม่เหมาะสม (Riding the Brakes) และ/หรือ คาลิปเปอร์ทำงานไม่เหมาะสมทำให้ผ้าเบรกกดติดกับจานตลอดเวลา (Brake Pad Stuck) คำว่า overheat เนี่ยอุณหภูมิของจานจะอยู่เกือบราวๆเป็นเหล็กเผาไฟจนแดงเลยล่ะครับ เมื่อ overheat แล้วเนื้อเหล็กจะขยายตัวพร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นรูปร่างอะไรก็ได้แล้วแต่ขนาดของแรงที่มากระทำต่อมัน (ย้อนกลับไปดูที่ภาคแรกนะครับ นี่คือคำอธิบายว่าทำไม SAE J431 G3000 จึงต้องกำหนด Tensile Strength ขั้นต่ำเอาไว้ที่ 30,000 psi) หลับตานึกภาพจานถูกหมุนไปด้วยแรงที่อยู่ในแนวขนานไปกับตัวรถ ในขณะที่คาลิปเปอร์ทำงานด้วยแรงในทิศทางที่ตั้งฉากกับมัน ชัดนะครับว่าอาการบิดของจานมันมาได้อย่างไร ไม่ใช่แค่ตอนรถวิ่งแล้วจาน Overheat แล้วจะทำให้ Warp ได้อย่างเดียว การกดเบรกค้างไว้ตอนรถหยุด (หลังจากวิ่งมาจน overheat แล้ว) ก็ทำให้ Warp ได้เหมือนกัน อันนี้อธิบายได้ว่าเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิของจุดบนจานที่ถูกเบรกกดไว้ กับตรงที่ไม่ถูกเบรกกด เมื่ออุณหภูมิลดลงไม่สม่ำเสมอทั่วจาน ทำให้ Warp สมัยหนุ่มๆ-ที่รู้แค่ว่าคำว่า “ตาย” ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าแค่คำๆนึงที่ประกอบไปด้วย สระ 1 ตัว และพยัญชนะ 2 ตัว-เคยอัดกันมากับรถอีกคันนึงบนทางด่วน มุดซ้าย มุดขวา เบรกหน้า เบรกหลัง ราวสองสามร้อยครั้งได้ กำลังจะคิดว่าไอ้หมอนี่มืออาชีพฝีมือไม่เบา พอลงมาจากทางด่วนติดไฟแดง เห็นมันจอดเหยียบเบรกค้างไว้ (ดูจากไฟท้าย) ก็เลยเปลี่ยนใจคิดว่านี่มือใหม่นี่หว่า ในใจคิดว่าเดี๋ยว (มึง) ได้กลับไปเปลี่ยนจานใหม่แน่ๆ ไม่ได้สนับสนุนให้ใครไปขับแข่งกันแบบนั้นนะครับ การไม่ขับแบบนั้นเป็นการลดอาการ overheat ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ (555) พอรถจะต้องหยุด ดึงเบรกมือไว้แทนครับ อาการ Warp ที่ไม่เกี่ยวกับ Overheat (ย้อนกลับไปดู ผมใช้คำว่า “เกือบ”) ก็คือเกิดจากการไขน๊อตล้อไม่เป็นไปตาม Torque และ/หรือ ไม่เป็นไปตาม Pattern ของมัน ไขตัวไหนก่อนหลังของ search ดูในนี้นะครับ ผมเคยลงเอาไว้นานแล้ว ไม่แน่ใจว่าคุณ Jack ลบไปหรือยัง อาการนี้จะทำให้จานหมุนไม่ได้ center ซึ่งทำให้เกิด Thickness variation ได้เช่นกัน หาซื้อ Torque Wrench ติดบ้านไว้เถอะครับ อย่าปล่อยให้ความแน่นน๊อตล้อของรถเราขึ้นอยู่กับน้ำหนักความอ้วน-ผอมของเด็กปั๊ม หรือช่างที่อู่ที่ไขน๊อตล้อเลย ราคาถึงจะเอาเรื่องหน่อย แต่ถูกกว่ากระจกมองข้างก๊อปปี้จากไต้หวันแบบ M 3 เยอะครับ ผมว่าทั้งหมดนี้ คงจะทำให้เพื่อนสมาชิกมองเห็นภาพคร่าวๆได้แล้วนะครับ ว่าจานในแต่ละแบบมันมีข้อดีข้อเสียอย่างไร อาจจะมีอะไรขาดตกบกพร่องไปบ้าง ขอภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ

วันพฤหัสบดีที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2551

การกำหนดให้รถจักรยานยนต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ระดับที่

การกำหนดให้รถจักรยานยนต์ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน ระดับที่ 5
ความเป็นมาตามที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้รถจักรยานยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์เฉพาะด้านความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับที่ 5 มาตรฐานเลขที่ มอก. 2130-2545 เนื่องจากได้มีการปรับปรุงมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ระดับที่ 4 ให้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับปริมาณสารมลพิษจากเครื่องยนต์เข้มงวดขึ้น เพื่อลดปริมาณสารมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน โดยมาตรฐาน ระดับที่ 5 จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547 สำหรับรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดต่ำกว่า 110 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร และ วันที่ 1 กรกฎาคม 2547 สำหรับรถจักรยานยนต์ที่มีขนาดตั้งแต่ 110 ลูกบาศก์เซ็นติเมตรซึ่งมีผลบังคับให้ผู้ทำ ผู้นำเข้าและผู้จำหน่ายต้องทำ นำเข้าและจำหน่ายเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เป็นไปตามมาตรฐานเท่านั้นหากฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม มีโทษตามกฎหมาย ข้อกำหนดของมาตรฐาน มอก. 2130-2545 รถจักรยานยนต์ เฉพาะด้านความปลอดภัย : สารมลพิษจากเครื่องยนต์ ระดับที่ 5ขอบข่าย : มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมนี้ครอบคลุม
เฉพาะรถจักรยานยนต์ที่มีมวลรถเปล่าน้อยกว่า 400 กิโลกรัม มีความเร็วออกแบบ (designed speed) สูงสุดมากกว่า 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และมีความจุกระบอกสูบมากกว่า 50 ลูกบาศก์เซ็นติเมตร
เฉพาะด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับปริมาณของสารมลพิษและความทนทานของอุปกรณ์ควบคุมมลพิษ การทดสอบ : กำหนดให้มีการทดสอบในรายการคาร์บอนมอนอกไซด์ ไฮโดรคาร์บอนและออกไซด์ของไนโตรเจน ปริมาณคาร์บอนมอนอกไซด์ขณะเดินเบา ควัน (เฉพาะรถจักรยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สองจังหวะ) สารมลพิษไอระเหย และ ความทนทานของอุปกรณ์ควบคุมมลพิษ การยื่นขอใบอนุญาตผู้ทำ และผู้นำเข้าเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาตทำ และนำเข้าเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต่อสมอ. หลักเกณฑ์ในการอนุญาตการอนุญาตให้ทำ หรือนำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะพิจารณาจากขีดความสามารถของโรงงานที่ทำผลิตภัณฑ์ให้เป็นไปตามที่ มอก. กำหนด และขีดความสามารถในการควบคุมดูแลให้ผลิตภัณฑ์เป็นไปตาม มอก. โดยสม่ำเสมอ
1.
ระบบการควบคุมคุณภาพผู้ขอรับใบอนุญาตต้องจัดให้โรงงานที่ขอรับใบอนุญาต หรือโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ที่ขอรับใบอนุญาตมีระบบการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ในเรื่องต่อไปนี้อย่างน้อย

1.1
ความรับผิดชอบของผู้บริหาร ในเรื่องโครงสร้างองค์กร

1.2
การควบคุมเอกสารและข้อมูล

1.3
การจัดซื้อ

1.4
การบ่งชี้และการสอบกลับได้ของผลิตภัณฑ์

1.5
การควบคุมกระบวนการ ในส่วนที่เกี่ยวกับ

-
เอกสารวิธีการต่าง ๆ ซึ่งอธิบายลักษณะของการผลิต การติดตั้ง และการบริการ หากขาดวิธีการต่าง ๆนั้นแล้วจะเกิดผลเสียด้านคุณภาพ

-
ใช้เครื่องมือเครื่องจักรที่เหมาะสมสำหรับการผลิต การติดตั้ง และการบริการ ตลอดจนสภาพแวดล้อมในการทำงานที่เหมาะสม

-
ความสอดคล้องกับมาตรฐาน/หลักปฏิบัติ แผนคุณภาพ และ/หรือเอกสารวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้อ้างอิง

-
เฝ้าระวังและควบคุมความเหมาะสมของปัจจัยกำหนดต่าง ๆ ของกระบวนการและคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์หรือชิ้นงาน

-
เกณฑ์การยอมรับคุณภาพงาน ซึ่งต้องกำหนดในลักษณะที่ชัดเจนที่สุด เช่น มาตรฐาน ตัวอย่างหรือภาพประกอบ

1.6
การตรวจสอบและการทดสอบ โดยเน้นในเรื่องการตรวจสอบและทดสอบเกี่ยวกับสารมลพิษ

1.7
การควบคุมเครื่องตรวจ วัด และทดสอบ (สำหรับเครื่องมือทดสอบรายการปริมาณคาร์บอนมอนอกไซด์ขณะเดินเบา)

1.8
สถานะการตรวจสอบ

1.9
การควบคุมผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์กำหนด

1.10
การปฏิบัติการแก้ไขและป้องกัน

1.11
การควบคุมบันทึกคุณภาพ
2.
การเก็บตัวอย่างตรวจสอบในการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจสอบ จะเก็บตัวอย่าง 1 ชุดตัวอย่างตามรุ่นเครื่องยนต์ ซึ่งประกอบด้วย รถจักรยานยนต์ 1 คัน
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการขออนุญาตทำ นำเข้าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว โปรดติดต่อสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม สำนักบริหารมาตรฐาน 2 โทร : 0 2202 3478, โทรสาร : 0 2202 3474, E-mail : bureau2@tisi.go.th

การเลือกยางรถจักรยานยนต์

การเลือกยางรถจักรยานยนต์



เขียนโดย Administrator
ในการเลือกยางรถจักรยานยนต์ เราควรเลือกยางแบบไหน และจะพิจารณาอะไรเป็นปัจจัยสำคัญรวมถึงเทคนิคการดูแลและบำรุงรักษายางให้คงทนยาวนาน ซึ่งเราจะมาเริ่มต้นที่การเลือกซื้อยางก่อน โดยเมื่อจะซื้อยางมอเตอร์ไซค์ ควรเลือกขนาดยางให้พอดีกับรถและดูชนิดของยางให้เหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งานด้วย และควรพิจารณาถึงสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
การรับน้ำหนัก
อย่าบรรทุกให้เกินน้ำหนักที่กำหนดไว้สำหรับยางชนิดนั้น ๆ ทั้งควรคำนึงถึงน้ำหนักของรถมอเตอร์ไซค์น้ำหนักของอุปกรณ์ประกอบอื่น ๆ รวมทั้งน้ำหนักของผู้โดยสารอื่นที่นั่งซ้อนไปด้วย ควรระลึกไว้เสมอว่ายางจะรับน้ำหนักได้น้อยลงถ้าสูบลมไว้อ่อน แต่ถ้าลมยางอ่อนก็จะทำให้รับน้ำหนักเกินกำลังไม่ได้
การใช้ความเร็วกับยางมอเตอร์ไซค์
การจะใช้ความเร็วสูงด้วยความมั่นใจก็ต้องดูด้วยว่าเป็นยางใหม่ไม่ชำรุด ดอกยางไม่สึก ลมยางสูบไว้ถูกต้อง รวมทั้งไม่บรรทุกหนักเกินไปด้วย นอกจากนี้ก็ไม่ควรใช้ความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
ยางนอกไม่ต้องใช้ยางในใหม่
เมื่อใช้ยางนอกยี่ห้อใด ก็ควรใช้ยางในยี่ห้อเดียวกัน ยางในจะเป็นส่วนที่สำคัญยิ่ง จึง
ต้องพิถีพิถันคัดเลือกให้ดี เมื่อเปลี่ยนยางนอกใหม่ก็ควรเปลี่ยนยางในไปพร้อม ๆ กันเพราะยางในเส้นจะยืดไปแล้วหากนำมาใส่กับยางนอกใหม่อาจเกิดรอยพับแล้วเสียดสีกันเอง เมื่อยางบางก็จะรั่วซึมได้ยางในดีจะพิมพ์ขนาดของยางนอกที่จะใช้ด้วยกันไว้ จึงควรเลือกใช้ให้ตรงกัน
ขนาดของล้อ
ต้องเลือกยางรถมอเตอร์ไซค์ให้พอดีกับขนาดขอบล้อรถ เช่น ใช้ยางขนาด 17 นิ้ว กับล้อรถมอเตอร์ไซค์ขนาด 17 นิ้ว การใช้ยางที่ขนาดหน้ายางงไม่ถูกต้องจะทำให้บังคับรถยากและทรงตัวไม่ดีด้วย ถ้าใส่ยางกับขอบล้อที่กว้างกว่ากำหนดหน้ายางจะแบน การขับขี่เข้าโค้งจะทำให้แก้มยางเสียดสีกับพื้นได้ง่าย
ระยะห่างของล้อ
เมื่อใส่ล้อ / ยางรถมอเตอร์ไซค์ ต้องดูระยะห่างของล้อรถกับบังโคลนและส่วนอื่น ๆ ของรถมอเตอร์ไซค์ด้วย เพราะยางขนาดเบอร์เดียวกันแต่ต่างยี่ห้อกันหือต่างรุ่นกัน อาจมีขนาดความกว้างของแก้มยางหรือดอกยางต่างกันจึงควรระวังเพราะยางอาจเสียดสีกับส่วนอื่นด้วย ถ้าจะใช้ยางขนาดใหญ่ขึ้นอาจจะต้องเปลี่ยนล้อให้มีขอบกว้างขึ้นด้วย และเมื่อใส่ยางหรือขอบล้อใหญ่ขึ้นต้องลองหมุนดูให้มีระยะห่างจากส่วนอื่น ๆ พอสมควร
การเปลี่ยนยางเก่า
อย่าลืมว่า ยางหน้าต้องเข้าคู่กับยางหลัง ตามข้อกำหนดของผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อให้ขับขี่ได้ปลอดภัยและควบคุมรถได้ดี เมื่อจะเปลี่ยนยางหน้าควรดูดอกของล้อหลังด้วย ดอกยางใหม่ ๆ ของล้อหน้าอาจทำให้ควบคุมรถยากเมื่อใช้ร่วมกับยางหลังที่สึกไปมากแล้ว
การถ่วงล้อ
วัตถุยืดหยุ่นได้ เช่น ยางของรถมอเตอร์ไซค์นั้น ไม่สามารถผลิตให้ออกมาได้กลมอย่างสมดุลย์ ดังนั้นต้องถ่วงล้อ (ควรถ่วงล้อแบบล้อหมุน) หลังจากใส่ยางใหม่ทุกครั้งมีวิธีถ่วงล้ออยู่ 2 วิธี คือ แบบล้อนิ่งและแบบล้อหมุน ถ้าใช้ยางขอบกว้างเกิน 2.5 นิ้ว ข้อควรระวัง เพื่อป้องกันลมรั่วตามขอบล้อควรใช้ตะกั่วถ่วงชนิดที่ผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์แนะนำ เช่น ใช้ถ่วงที่เส้นลวดซี่ล้อ ใช้ลวดตะกั่วหรือใช้ตุ้มน้ำหนักแบบแปะด้วยแถบกาว (ไม่ควรใช้น้ำยาถ่วงล้อชนิดที่ใช้ฉีดเข้าไปในล้อรถมอเตอร์ไซค์) แทนที่จะใช้แบบเสียบที่ขอบล้อ เช่น ที่ใช้ถ่วงล้อรถยนต์
การตั้งศูนย์ถ่วงล้อ
ควรตั้งศูนย์ถ่วงล้อทุกครั้งที่ถอดล้อหลังหรือเมื่อปรับความตึงโซ่ ถ้าตั้งศูนย์ล้อไม่ถูกต้อง เมื่อหมุนล้อไปแต่ละรอบยางสึกเร็วขึ้น ทำให้อายุการใช้งานลดลง และบังคับรถหรือทรงตัวเข้าโค้งยากขึ้น
การรัน-อิน
เมื่อใส่ยางใหม่ ๆ ควรถนอมยางสักพัก โดยไม่ขับขี่ให้เร็วมากหรือเข้าโค้งแคบด้วยความเร็วสูง เมื่อใช้ยางไปสัก 160-250 กม. ยางจะปรับเข้ากับขอบล้อได้ดี จึงค่อยขับขี่ได้เต็มที่
ความดันลมยาง
สูบลมยางให้พอดีตามข้อกำหนดและควรตรวจวัดความดันลมทุกสัปดาห์ โดยวัดขณะที่ยางยังเย็นอยู่ ถ้าสูบลมแข็งเกินไปรถจะเด้งง่ายขับขี่ไม่สบายและยางสัมผัสกับถนนน้อยลง แต่ถ้าลมยางอ่อนเกินไปจะขับขี่ได้ลำบากและรถยังสะบัดได้ง่าย นอกจากนี้ลมยางอ่อนเกินไปจะทำให้ยางสึกเร็ว เปลืองน้ำมันความเร็วก็ต่ำกว่าที่ควรและยังควบคุมได้ยาก ผลร้ายที่สุดจากการสูบลมยางไม่ถูกต้องตามกำหนดก็คือ ยางจะสึกเร็วกว่าปกติคุณสมบัติของเนื้อยางที่เขานำมาผลิตล้อรถมอเตอร์ไซค์นั้นออกแบบมาเพื่อทนความร้อนได้ระดับหนึ่ง แต่ยางที่สูบลมไม่ถูกต้องจะมีหน้ายางสัมผัสถนนไม่สมดุลย์ ทำให้ยางร้อนเกินไปและสึกหรอเร็วขึ้นกว่าปกติ นอกจากบกพร่องที่สูบยางไม่ตรงตามกำหนด การใช้ยางขนาดเล็กหรือยางที่ใช้ ได้กับความเร็วไม่พอกับการขับขี่จริงก็จะทำให้ยางร้อนและสึกหรอเร็วขึ้น คำแนะนำทั่วไปก็คือเพิ่มแรงดันลมยางหลังขึ้น 0.2 บาร์ (3 ปอนด์/ตารางนิ้ว) เมื่อขับขี่ซ้อนกันสองคน เพิ่มแรงดันลมทั้งยางหลังและยางหน้าขึ้น 0.2 บาร์ (3 ปอนด์/ตารางนิ้ว) เมื่อจะขับขี่ทางไกลด้วยความเร็วสูงติดต่อกัน เช่น บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ควรตรวจสอบแรงดันลมยางรถมอเตอร์ไซค์ทุกสัปดาห์

วันพุธที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2551

ประวัติรถจักรยานยนต

ประวัติรถจักรยานยนต์

วิวัติฒนาการของรถจักยานยนต์ เริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 17พลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อนได้แก่ ไอน้ำ รถที่ออกแบบมามีขนาดใหญ่ ต่อมาในศตวรรษที่ 18 จึงเริ่มมีการปรับปรุงให้มีขนาดเล็กลง และในศตวรรษที่ 19 ได้มีการสร้างถนนให้เพียงพอกับจำนวนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น
ในปีพ.ศ.2419 ดร.ออตโต(Dr.Otto) ชาวเยอรมันได้สร้างเครื่องยนต์ 4 จังหวะเผาไหม้ภายในขึ้น ซึ่งก็คือเครื่องยนต์ 4 จังหวะในปัจจุบันนี้ และเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาไหม้ คือเชื้อเพลิงที่มีส่วนประกอบของไฮโดรคาร์บอน(นืฃ้ำมันดิบที่นำมากลั่นเป็นน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าด น้ำมันดีเซล)
เครื่องยนต์ที่ ดร.ออตโต คิดขึ้นมีวัฏจักรการทำงาน 4 ครั้งครบรอบการทำงาน คือ (1) จังหวะดูด (2) จังหวะอัด (3)จังหวะระเบิดหรือกำลัง (4) จังหวะคาย และเป็นเครื่องยนต์ที่จะเกิดการเผาไหม้ได้ก็โดยการจุดประการไฟ เชื้อเพลิงที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงชนิดเบา เช่น น้ำมันเบนซิน
รถจักรยานยนต์ในสมัยแรกๆ จะเป็นรถแบบสามล้อ และมีขนาดใหญ่ ต่อมาก็เป็นแบบสองล้อและมีขนาดเล็กลง เครื่งอยนต์จากที่วางตรงตำแหน่งต่างๆของรถ ก็มาเป็นวางตรงกลางระหว่างล้อหน้าและล้อหลังอย่างในปัจจุบันนี้
รถจักรยานยนต์จากยุโรปสมัยแรก ๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย ได้แก่ บีเอ็มดับลิว ฮาร์เล่ย์เดวิดสัน ไทรอัมพ์ จนกระทั่งเมี่อรถจักรยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเริ่มเข้าตลาดเมืองไทย จนปัจจุบันนี้เราจะเห็นแต่รถจักรยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนมาก ส่วนรถจักรยานยนต์จากประเทศทางบยุโรปก็ยังมีอยู่ แต่ว่ามีราคาที่แพงกว่ามากอะไหล่หายาก จึงมีผู้สนใจเฉพาะผู้ที่รักรถจักรยานยนต์จากยุโรปจริง ๆ และผู้ที่มีกำลังเงินในการซื้อเท่านั้น
นำมาจาก หนังสือ ทฤษฎีและปฏิบัติจักรยานยนต์ ของ นาย บุญธรรม ภัทราจารุกุล

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

cbr150








ข้อมูลทางเทคนิค Honda CBR 150 R
รุ่น / รหัส
CBR 150 R / NCB 150 (C)
เครื่องยนต์
4 จังหวะ สูบตั้ง แบบดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาฟท์ 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ
ปริมาตรกระบอกสูบ
149.4 ซีซี
ความกว้างกระบอกสูบ x ช่วงชัก
63.5 x 47.2 มม.
อัตราส่วนแรงอัด
11:1
ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์
สตาร์ทมือ (สตาร์ทไฟฟ้า)
ระบบจุดระเบิด
CDI กระแสไฟตรง
หัวเทียนมาตรฐาน
CR8E (NGK) หรือ U24ESR - N (DENSO)
ระบบเกียร์
6 เกียร์
ระบบคลัทช์
แบบเปียกหลายแผ่นซ้อนกัน
อัตรากดเกียร์ 123456
3.0881.9411.5001.2271.0410.923
อัตรากดเกียร์ขั้นต้น / ขั้นสุดท้าย
3.260 / 2.933
ขนาด (กว้าง x ยาว x สูง )
652 x 1,910 x 1,065 มม.
ระยะห่างช่วงล้อ
1,286 มม.
ระยะห่างจากพื้น
172 มม.
ความสูงเบาะ
776 มม.
มุมคาสเตอร์ / ระยะเทรล
25 องศา / 88 มม.
น้ำหนักสุทธิ
115 กก.
ระบบกันสะเทือนหน้า หลัง
เทเลสโคปิคโมโนโช้ค
ระบบห้ามล้อหน้าหลัง
ดิกส์เบรก จานดิสก์ขนาด 276 มม.ดิสก์เบรก จานดิสก์ขนาด 220 มม.
ขนาดยางหน้าหลัง
80/90 - 17 M/C 44 P (TUBELESS) 100/80 - 17 M/C 52P (TUBELESS)
แบตเตอรี่
MF ขนาด 12 V. - 5 Ah
ความจุน้ำมันเครื่อง
10 ลิตร
น้ำมันเชื้อเพลิง
เบนซินไร้สารตะกั่ว ค่าออกเทน 91 ขึ้นไป หรือน้ำมันแก๊สโซฮอลออกเทน 95 หรือ ออกเทน 91 ที่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์ไม่เกิน 10%
* หมายเหตุ : รายละเอียดอาจเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า

การจูนคาบูเรเตอร์

การจูนคาบูเรเตอร์ เครื่องพารา ลองทำดุไม่ยาก
รายละเอียด
. เตรียมคาร์บูเรเตอร์ แนะนำควรเป็นคาร์บูฯใหม่เพราะถ้าเจอคาร์บูฯเสียอาจจับปัญหาไม่ถูกพาลหลงทางไปเลยครับ 2. นมหนูเมน และเดินเบา(ตัวเล็ก) หลายๆเบอร์เตรียมการ1. รถที่จะเซ็ทควรเป็นรถที่อยู่ในอาการปกติ เปลี่ยนหัวเทียนใหม่ล้างทำความสะอาดลูกสูบฝาสูบไม่ให้มีคราบเขม่า ท่อไอเสียควรเป็นท่อใหม่สะอาดและเซ็ทลงตัวกับรถเป็นทีเรียบร้อย ไฟจุดระเบิดควรตั้งค่ากลางไว้ไม่แก่มาก ไม่อ่อนมากขั้นตอนต่อไปก็ล้างคาร์บูฯเป่าให้แห้งเตรียมไว้2. เลือกนมหนูมา 1 ตัว(อาจใช้การเดาแต่ควรจะเบอร์มากไว้ก่อนแต่ก็ไม่ควรมากเกินไป)ใส่เข้าไปเลยครับส่วนนมหนูเดินเบาแนะนำที่เบอร์ 30-35 แล้วติดเครื่อง อุ่นเครื่อง 1-2 นาทีแล้วปรับสรูอากาศขันสุดแล้วคลายออก 2 รอบ ปรับสรูเดินเบาให้ได้รอบ 1500 รอบ/นาทีอาการและวิธีการปรับ- ค่อยๆเร่งเครื่อง ถ้าเครื่องมีอาการสำลัก มีน้ำมันพ่นออกปากคาร์บูฯมาก เครื่องดับ น้ำมันท่วมลดนมหนูเมนลง 2-3 เบอร์(เบอร์ละ10) - ถ้าสตาร์ทเครื่องไม่ติด ถ้าติดต้องใช้โช้คตลอดเวลา ให้เพิ่มนมหนูเมนอีก 1-2 เบอร์ ติดเครื่องได้แล้วอุ่นเครื่องสักหน่อย เร่งเครื่อง 2-3ครั้งแล้วบิดสุด- เร่งวอด เครื่องดับ ก่อนดับมีน้ำมันพ่นออกปากคาร์บูฯมาก ลดนมหนูลง 2 เบอร์- เร่งได้สุดแต่ รอบไม่คงที เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำเพิ่มนมหนูทีละ 0.5 จนเร่งได้สุดรอบ(ห้ามเร่งแช่นานๆเด็ดขาด ควรเร่งครั้งละไม่เกิน 5 วินาที)การปรับเซ็ทนมหนูเดินเบาตั้งเดินเบาให้รอบต่ำสุดเท่าที่จะทำได้(ห้ามปรับสรูอากาศ)- ปรับจนสุดรอบเครื่องไม่ต่ำ เครื่องไม่ยอมดับ เวลาเร่งเบาๆมีอาการสำลัก ให้ลดนมหนูเดินเบาลง 1 เบอร์- เครื่องเร่งเดินเบาไม่ได้ แต่ไม่มีอาการสำลักเร่งเครื่องได้ เพิ่มนมหนูเดินเบา 0.5 เบอร์เมื่อนมหนูเดินเบาได้ที ให้ขันสกรูอากาศเข้า0.5 รอบ (น้ำมันจะหนานิดๆสตาร์ทติดง่าย)อาการเมื่อนมหนูเดินเบาได้ที่ปรับเดินเบาสุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อขันสกรูอากาศเข้ารอบเครื่องจะค่อยๆสูงขึ้นๆเมื่อถึงจุดจุดหนึ่งเครื่องจะสำลัก(หนามาก)รอบจะค่อยๆต่ำลงจนอาจดับ ขันสกรูอากาศสุดแล้วคลายออก 1.5 รอบ แล้วค่อยๆคลายออกรอบเครื่องจะสูงขึ้นตามเสียงเครื่องจะครางแรงไม่สำลักสามารถเร่งเครื่องต่อได้ไม่ดับเมื่อคลายออกถึงจุดจุดหนึ่ง เครื่องจะวอดจนอาจดับ นั่นคืออาการที่นมหนูเดินเบาได้ที่สำหรับผู้ที่เคยเห็นช่างปรับสรูอากาศแล้วบิดคันเร่ง เร่งสุด แล้วก็ปรับเข้าปรับออกอยู่นั่นแหละอันนั้นมั่ว ไม่แนะนำให้ใช้บริการครับ ถึงเวลาลองบินแล้วครับอุ่นเครื่องให้ได้ที่ ถ้าเครื่องมีอาการสำลักนิดๆ รอบหนักๆ ให้ลดนมหนูเดินเบาลงอีก 0.2-0.3 เบอร์ถ้าออกตัวได้ปกติ ส่งรอบถึง3000รอบโดยไม่มีอาการอืด นั่นหละแจ๋วความเร็วสูงสุด ระหว่างทางถ้าเริ่มบีบคันเร่งมีอาการวอดเล็กน้อยก่อนจะเร่งขึ้นเสื้อนมหนูเมนคุณเล็กไปต้องเปลี่ยนไปเบอร์ใหญ่ขึ้น อาจจะใช้การแยงรูเสื้อนมหนูแต่ขอแค่นิดเดียวนะครับเดี๋ยวเสียแล้วจะไม่คุ้ม ต่อไปบิดไปครับจนถึงความเร็วสูงสุด ถ้ามีอาการชักกระตุกน้ำมันบางครับ รีบเพิ่มเบอร์นมหนูขึ้น 1 เบอร์ ถ้าเกิดอาการนี้อย่าบิดแช่ ให้วิ่งช้าๆกลับมาเซ็ทใหม่ครับใครดันทุรังมีสิทธิ์ลูกทะลุ เมื่อวิ่งได้สุดโดยไม่มีอาการผิดปกติ ดับเครื่อง แล้วเปิดฝาสูบทันทีครับ- ฝาสูบแห้งมีสีเทา หัวเทียนมีสีเทา หัวลูกสูบมีสีเทา น้ำมันบาง เพิ่มนมหนู 0.5-1 เบอร์ครับ- ฝาสูบแห้ง หัวเทียนมีสีน้ำตาลอ่อนปนเทา น้ำมันบาง เพิ่มนมหนู 0.2-0.3 เบอร์ครับ- ฝาสูบมีคราบน้ำมันบางๆทั้งห้องเผาไหม้ หัวเทียนมีสีน้ำตาลปนดำ น้ำมันหนา ลดนมหนู 0.2-0.3 เบอร์ครับ- ฝาสูบมีคราบน้ำมันเยิ้ม หัวลูกสูบมีสีดำ หัวเทียนมีสีดำ น้ำมันหนา ลดนมหนูลง 0.5 เบอร์ครับ- ฝาสูบด้านไอเสียแห้ง หัวเทียนแห้งมีสีน้ำตาลแก่ ฝาสูบด้านไอดีมีคราบน้ำมันบางๆเคลือบอยู่หัวลูกสูบมีสีน้ำตาลปนดำ เป็นลักษณะที่น้ำมันพอดีครับข้อมูลนี้เป็นการแนะนำเป็นการจูนคารบูฯ ขั้นมากกว่าพื้นฐาน มิได้เป็นการอวดอ้างสรรพคุณใดๆและทีเขียนไปนี้เป็นข้อมูลตรงจากประสพการทั้งทางทางทฤษฎีดี และปฏิบัติ ที่ข้าพเจ้าสังสมมาขอให้ผู้อ่านและผู้ที่รักพารามอเตอร์ เหมือนผม ได้ผลประโยชน์จากข้อมูลนี้โดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆครับhttp://www.fm9475.com/paramotor.htm

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2551

ความรู้ และความเข้าใจเกี่ยวกับโช้คอัพ

นับเป็นเวลายาวนานที่รถจักรยานยนต์ อยู่คู่กับผู้บริโภคชาวไทย และร่วมเส้นทางไปในสถานที่ต่างๆ บนท้องถนนของเมืองไทยที่แสนจะสะดวกสบายเต็มไปด้วยหลุมและบ่อ โดยเฉพาะฝาท่อที่โผล่อยู่กลางถนน รถมอเตอร์ไซค์เมืองไทยจึงถูกออกแบบให้สามารถเอาตัวรอดได้ ในระดับหนึ่ง ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา กระแสการปรับแต่งรถให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อรองรับการทำงานในลักษณะๆต่างๆได้ดียิ่งขึ้น กับอีกทางหนึ่งคือการตกแต่งเพื่อความเท่ ความหล่อบนท้องถนน จนกระทั่งบางคนอาจจะไม่เคยรู้ความแตกต่างของโช้คแต่ละแบบเลย วันนี้จึงเป็นโอกาสดีที่จะนำความรู้เกี่ยวกับระบบกันสะเทือนมาฝากกันครับ
โช้คอัพ มาจากคำว่า Shock Absorber (ช็อค-อัพซอร์เบอร์) เป็นตัวช่วยหน่วงเวลาไม่ให้สปริงมีการเคลื่อนตัวเร็วเกินไป แต่อย่าเข้าใจผิดว่าใช้โช้คอัพรองรับน้ำหนักนะครับ ผู้ขับขี่รถบางคนอาจจะเข้าใจกันว่าโช้คมีไว้รองรับน้ำหนักรถ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์เลยครับ จริงๆแล้ว ตัวรับน้ำหนักและแรงกระเทกทั้งปวงคือสปริง แต่ในทางกลับกันถ้ารถคุณมีแต่สปริง พอเจอถนนขรุขระและหลุมบ่อ รถคุณก็จะเด้งขึ้นเด้งลงตามค่า K ของสปริงกันจนมึนไปเลย Shock Absorber จึงถูกออกแบบขึ้นมา เพื่อหน่วงไม่ใช้สปริงมีการเคลื่อนตัวได้เร็วนัก ในกรณีเวลาที่คุณต้องการเลือกโช้คอัพมาใส่รถต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า คุณต้องได้อย่างเสียอย่างเสมอ ถ้ารถคุณอยากได้โช้คนิ่ม มันจะหน่วงสปริงได้น้อย นั่งแล้วนิ่มตูดขึ้น แต่เวลาเข้าโค้งที่มีความเร็วถึงในระดับหนึ่งรถก็จะออกอาการ “ย้วย” ซึ่งเกิดจากการยุบตัวของโช้คแบบผิดที่ผิดเวลานั่นเอง ซึ่งนั่นเกิดจากแรงเหวี่ยงจากศูนย์กลางมันมากดโช้ค แต่ถ้าในกรณีที่คุณเลือกโช้คหนึบในโค้งความนิ่มก็จะหายไปรวมทั้งบนทางตรง เนื่องจากสปริงจะเคลื่อนที่ได้น้อยมาก แต่เวลาเข้าโค้ง หรือขับซิกแซก รุถคุณนิ่งอย่างแรงครับเพราะน้ำหนักกดลงไปถึงพื้นมีความสม่ำเสมอ

โช้คอัพ เดิมทีคือการใช้น้ำมันในการหน่วงการทำงานของกลไก โดยน้ำมันนี้ จะบรรจุอยู่ในกระบอกโช้คเต็มกระบอก แท่งแกนโช้ค ( Piston rod ) ถูกสอดลงไปในกระบอก มีก้อนวาล์ว (Piston valve) อยู่ตรงปลาย หลักการของมันคือ รูวาวล์จะต้านแรงดันน้ำมันในเวลารับแรงกดและแรงยืดกลับ เวลาจังหวะโช้คยืดตัวขึ้น น้ำมันจากห้องบนจะต้องถูกดันให้หนีลงมาห้องล่าง แต่วาล์วที่กั้นห้องนั้น มีรูและซอกเล็กมากให้น้ำมันผ่านได้จำกัดมาก ทำให้น้ำมันผ่านได้ช้าลง ผลก็คือเกิดการหน่วงไม่ให้ก้านสูบเลื่อนขึ้นเร็วเกินไป ในจังหวะโช้คกดตัวลงก็เช่นกันครับ น้ำมันจากห้องล่างจะพยายามหนีขึ้นห้องบนเพราะโดนดัน วาล์วก็เป็นตัวหน่วงอีกเช่นกัน
การไหลผ่านร่องวาล์วเล็กๆในกระบอกสูบ หนืดไม่หนืด ขึ้นอยู่กับขนาดวาล์วและการออกแบบ ช่องทางเดินน้ำมันในวาล์วให้ใกล้เคียงกับความต้องการการใช้งานมากที่สุด






ลักษณะพิเศษของโช้คแก้สโช้คแก้ส มันคือการขึ้นพัฒนาจากโช้คที่มีองค์ประกอบที่มีอยู่แล้ว มาสร้างห้องพิเศษไว้ห้องหนึ่งแล้วอัดแก้สไนโตรเจนลงไป มีจุดประสงค์หลักคือทำให้มีแรงดันเพิ่มขึ้น ฟองอากาศที่จะเกิดในน้ำมันซึ่งเป็นปัญหาเดิมจะลดลง เนื่องจากเวลาโช้คทำงานปกติบนถนน โช้คมีการขยับขึ้นลงมากกว่า 10 ครั้งต่อวินาทีพร้อมกับความร้อนซึ่งเกิดจากการเสียดสีเป็นจำนวนมาก ทำให้น้ำมันเกิดฟองอากาศ ประเด็นสำคัญ สิ่งที่เรียกว่าโช้คน้ำมันกึ่งแก้สนั้นหลายคนอาจเข้าใจว่าเป็นการอัดเฉพาะแก้สเข้าไปเต็มๆ นั่นเป็นความเข้าใจผิดครับ โช้คแก้ส ก็ยังใช้น้ำมันในการไหลผ่านวาล์วเหมือนเดิม แก้สไม่เกี่ยวเลยแต่แรงดันจากแก้สนี้จะสร้างแรงดันซึ่งมีผลไปสู่ฟองอากาศให้ลอยตัวเร็วมากขึ้นไม่เข้ามาพัวพันอยู่กับแกน และซีลโช้ค ซึ่งเป็นตัวการที่เกิดการสะดุดขณะที่โช้คทำงาน ดังนั้น ขอให้เข้าใจกันใหม่ด้วยนะครับ ว่าโช้คนั้นมีแค่เป็นน้ำมันล้วน กับแบบเอาแก้สมาอัดช่วยดันห้องล่าง แค่นั้น โช้คแก้สเปล่าๆ ไม่มีแน่นอนครับ ในการออกแบบ้องแยกแก้สนั้น ในอดีต มีถูกออกแบบให้เป็นเหมือนกับเสื้อสูบซึ่งมีลูกสูบหรือจะเรียกว่าผนังกั้นก็ไม่น่าจะผิด เป็นตัวกั้นระหว่างแก็สกับน้ำมัน มันจะทำงานรับแรงดันขึ้นลงเหมือนลูกสูบ ซึ่งลักษณะแบบนี้ จะเกิดความร้อนสะสมในตัวกระบอก ผู้ผลิตรุ่นใหม่จึงหันมาพัฒนาห้องแยกแก้สใหม่ ด้วยวัสดุยางสังเคราะห์เนื้อพิเศษ ซึ่งทำงานคล้ายๆกับเตียงน้ำ ไม่มีการเสียดสีกับวัตถุอื่นจึงไม่เกิดความร้อนจึงทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากกว่า



ข้อสังเกตุสำคัญว่าโช้คของคุณเป็นน้ำมันหรือมีแก้สก็สามารถทำได้ไม่ยาก เริ่มจาการถอดสปริงออกจากโช้ค แล้วลองวางตั้งกับพื้นนะครับ เอามือกดโช้คลงไปจนสุด แล้วปล่อย ถ้าเป็นโช้คน้ำมัน มันจะจมอยู่เช่นนั้น แต่ถ้าเป็นโช้คที่มีแก้สอยู่ด้วย มันจะค่อยๆยืดขึ้นมาเองช้าๆจนสุด สาเหตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะมีห้องแก้สอยู่ช่วยดันให้น้ำมันในห้องล่างดันลูกสูบขึ้นไปในตำแหน่งปกติ
ความหนืดในกระบอกโช้คความหนืดของโช้คอัพ จริงๆแล้วขึ้นอยู่กับการออกแบบวาล์วที่ลูกสูบเท่านั้น อยู่ที่ว่าโช้คตัวนั้นจะถูกปรับเซ็ทค่าโช้คมาพอดีและลงตัวแค่ไหน ไม่จำเป็นว่าต้องมีออฟชั่นมากแค่ไหน ถ้าคุณเปลี่ยนโช้คไปเป็นแก้ส ก็มั่นใจได้อย่าง ว่ามันแข็งขึ้นแหงๆครับ ถ้าวาล์วถูกออกแบบมาเหมือนกัน แต่ในทางกลับกันคือ เมื่อโช้คแก้สถูกใช้ในการทำงานประเภทที่ต้องโดนเค้นประสิทธิภาพสุดๆ มันจะคงความเสถียรมากกว่า ซึ่งหมายถึงมันคงสภาพการใช้งานหนักเป็นเวลานานนั่นเอง และเมื่อถึงกรณีนี้ จึงมีตัวช่วยของโช้คอัพเสริมขึ้นมา อย่างที่นักเลงขาซิ่งมอเตอร์ไซค์เขาเรียกกันว่า “ตัวปรับหนืด” (Rebound Adjuster) ซึ่งเจ้าตัวนี้จะทำงานโดยการปรับรูทางผ่านของน้ำมันใน Piston Valve ทำให้จากเดิมเป็นถนนสามเลนมีไฟกิ่งส่องสว่างไสว โดนบีบเหลืออยู่เลนเดียวเปิดไฟสลับดวง ผลก็คือ การจราจรย่อมเดินทางยากขึ้น อุปกรณ์นี้ จะถูกเสริมเมื่อผู้ขั่บขี่ต้องการความเที่ยงตรงให้เหมาะสมกับการงานมากที่สุด เช่นเดียวกับสปริง ที่จะมีตัว “สตรัทปรับเกลียว” (Spring preload Adjuster) ซึ่งจะช่วยในการหาความแข็งของปริงที่จะรับกับน้ำหนักบรรทุกได้อย่างเหมาะสม

ปัญหาที่เกิดกับโช้คอัพ
ปัญหาของโช้คอัพ มีเรื่องสำคัญๆอยู่เรื่องเดียว คือน้ำมันรั่วออกมาจากซีลโช้ค (Seal Block) ทำให้โช้คอัพสูญเสียน้ำมันไปเรื่อยๆ ซึ่งก็จะทำให้มันสูญเสียความสามารถในการหน่วงไป ทำให้รถคุณวิ่งเหมือนเด้งอยู่บนสปริง ถ้าเป็นไม่มาก ซึ่งพวกนักแข่งในสนามแข่ง เขาไม่มาก้มมุดดูโช้คให้เสียเวลา เพียงแค่เช็คดูที่หน้ายางดูก็รู้ได้แล้วครับ ถ้าสึกเป็นบั้งๆในแนวขวาง ก็สามารถฟันธงได้แล้วว่ารถคุณมีปัญหากะโช้คอัพแล้วล่ะสาเหตุสำคัญที่น้ำมันจะรั่วได้ ก็มาจากซีลยาง ซีลยางนี้ มีการเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาอยู่แล้ว ตามระยะของผู้ผลิตโช้ค คุณควรเปลี่ยนโช้คอัพเมื่อรถวิ่งไปได้ในระยะทาง 100,000 กิโล หรือห้าปี โดยไม่ต้องรอให้รั่ว เพราะซีลมันเสื่อมแล้ว ถ้ารถคุณไม่ค่อยได้ใช้เลย ซีลยางคุณจะยิ่งแย่กว่าปกติ เพราะทุกครั้งที่โช้คขึ้นลง ก้านแกนโช้คจะนำเอาน้ำมันออกมาเล็กน้อยด้วยช่วยหล่อลื่นซีลครับ ถ้าคุณไม่ใช้รถเลย จอดไว้เป็นอาทิตย์เฉยๆ ซีลจะแข็งและเสื่อมสภาพและฉีกง่ายมากๆ ปัญหาโช้ครั่วก็จะตามมาแน่นอนครับ
การติดตั้งโช้ค
เวลาติดตั้งโช้ค อย่าลืมเตือนช่างหรือแม้แต่คุณเองไม่ให้ใช้คีมในการจับแกนโช้คตอนขันน้อตหรือแม้แต่กรณีใดก็ตามครับ เพราะมันจะทำให้แกนโช้คเป็นรอย ซึ่งเมื่อคุณเอารถไปขี่ รอยนี้มันจะไปเสียดสีให้ซีลยางมันขาด ซึ่งก็จะนำมาซึ่งการรั่วตามมาในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นเวลาเจอโช้ครั่วเร็ว บางทีก็อย่าโทษแต่ผู้ผลิตโช้คล่ะครับ มันมีปัจจัยอื่นๆอีกเพียบเลยตัวอย่างเช่นตอนขันน้อต ถ้าคุณขันแน่นเกินไปหรือองศาไม่ตรงกับจุดยึด พอเจอน้ำหนักกดปุ๊บโช็คก็จองอปั๊ปเลยครับ เพราะเมื่อโช้คท่านงอ เวลาเอาไปวิ่ง มันก็ไปขูดซีลยางอีกน่ะแหละ (แหม ไอ้ซีลยางนี่ช่างเจ้าปัญหาซะจริงเลยนะ)
ข้อคำนึงเกี่ยวกับโช้คอัพ
๑.คุณควรเปลี่ยนทั้งสองข้างพร้อมกัน
๒.คุณควรเปลี่ยนให้ได้ตามรุ่นที่ผู้ผลิตโช้คทำมาเพื่อรถรุ่นนั้นๆ ไม่ควรดัดแปลง เพราะคุณไม่มีทางรู้ ค่าความแข็งของสปริงที่เหมาะสมแน่นอนครับ เพราะหากเป็นมาตรฐานของโรงงานผลิตโช้คที่ลงทุนกันเป็นล้าน พัฒนาและวิจัยกันเกือบตายกว่าจะออกมาให้รถแต่ละรุ่น
๓. หมั่นก้มดูโช้คบ่อยๆครับ ว่ามีคราบน้ำมันรั่วหรือไม่
๔ เรื่องของระบบกันสะเทือนมาตรฐานเยอรมัน ถือเป็นชินส่วนสำคัญเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยเทียบเท่ากับระบบเบรคเลยทีเดียว คุณควรใส่ใจกับมันให้มาก อย่าเห็นแก่ของถูก หรือเงินเพียงเล็กน้อยครับ

คนไทยเรา ยังมีอุปนิสัยไม่สนใจโช้คอัพ ไม่รั่ว ไม่มีวันเปลี่ยน จริงๆแล้ว คุณควรเปลี่ยนมันเมื่อวิ่งไปได้ 100,000 กิโล หรือห้าปีครับ เพราะซีลยางมันออกแบบมาให้มีอายุแค่นั้น ถามว่า “โช้คไม่ดี ไม่เห็นเป็นไร ไม่เปลี่ยนไม่ได้เหรอ ขับมาสิบปีแล้ว ไม่เห็นเคยเปลี่ยนสักครั้ง” ตอบเลยนะครับ ว่าถ้าคุณวิ่งปกติดี มันก็แล้วไปครับ แต่ถ้าคุณไปเจอสถานการณ์คับขัน เบรคกะทันหัน เมื่อถึงเวลานั้น คุณจะเข้าใจว่า โช้คนั้นสำคัญกับการทรงตัวของรถขนาดไหน เปลี่ยนทัศนคติกันใหม่นะครับ อย่างที่เยอรมัน เค้าบอกว่า "Shock Absorber condition cannot be compromised." ครับ


ที่มา : http://www.mocyc.com/study/view.php?category=1&idstudy=110

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รถจักรยานยนต์ฮอนด้าภายใต้แนวคิด “i love Freedom”

แนวความคิดในการนำเสนอบู๊ธรถจักรยานยนต์ Hondaฮอนด้าในฐานะผู้นำเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์ มีความมุ่งมั่นในการนำเสนอรูปแบบชีวิตที่เติมเต็มความเป็นอิสระอย่างไร้ขีดจำกัดให้กับทุกๆคน ผ่านทางนวัตกรรมรถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะเพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังปรารถนาให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงความสนุก ความประทับใจ และความสดชื่นของสายลมธรรมชาติในระหว่างการขับขี่อย่างอิสระบนรถจักรยานยนต์ฮอนด้าอีกด้วย เราจึงให้ความสำคัญและทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความปลอดภัย สะท้อนผ่านแนวคิด “i love Freedom” กับความคิดอิสระและความตั้งใจจริงของฮอนด้าที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของทุกคน และเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ไปกับเทคโนโลยี PGM-FI อันเป็นเทคโนโลยีระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อการขับขี่อย่างสมบูรณ์แบบ


รูปแบบความอิสระเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าของบู๊ธรถจักรยานยนต์ฮอนด้าด้วยแนวคิด “i love Freedom” กับอิสระที่จะนำทุกท่านไปพบกับการเดินทางเพื่อค้นหาความเป็นตัวเองและค้นพบสิ่งดีๆ อีกมากมาย ภายใต้บรรยากาศของบู๊ธรูปแบบใหม่ “Cloud” หรือ “กลุ่มเฆม” ที่ดีไซน์จากรูปร่าง แถบโมเบียส (Mobius Strip) วัตถุที่ได้ชื่อว่า “ไม่มีด้านสิ้นสุด” สะท้อนความอิสระของการขับขี่ที่ได้จากเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ของฮอนด้า ที่ภายในออกแบบให้ซึมซับกับบรรยากาศของเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี และภายนอกมีท้องฟ้าเป็นฉากหลังให้ผู้เข้ามาสัมผัสได้รู้สึกถึงประสบการณ์ความอิสระได้อย่างไร้ขีดจำกัด กับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียุคใหม่ล่าสุด PGM-FI เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ได้นำสถาปนิกฝีมืออันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค จาก บริษัท Duangrit Bunnag Architecht Limited มาออกแบบบู๊ธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซึ่งภายในบู๊ธประกอบด้วยโซนต่างๆ มากมายถึง 7 โซน ที่ต่างล้วนสะท้อนความเป็นอิสระที่จะได้รับจากรถจักรยานยนต์ฮอนด้า


โซน : I Love Earth.

การนำเสนอมาตรฐานใหม่สำหรับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นในอนาคต ซึ่งจะมาปฎิวัติวงการรถจักรยานยนต์ ด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ยุคใหม่ล่าสุด ที่สมบูรณ์และมีศักยภาพสูงสุด สามารถตอบสนองทุกความต้องการของทั้งคน สิ่งแวดล้อม และเพื่อโลกที่เรารักใบนี้ ด้วยจุดเด่น

1) ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์สูงขึ้นถึง 20%*

2) ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่าเดิม 15%*

3) ให้ค่าไอเสียที่ต่ำกว่ามาตรฐานไอเสียถึง 80%* ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีจากรถแข่งในสนามระดับโลก ควบคุมการทำงานโดยหน่วยประมวลผลอัจฉริยะ ECU (Engine Control Unit) และเซนเซอร์ทั้ง 5 จุด เพื่อช่วยคำนวณการจ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำ

4) เทคโนโลยีล่าสุด O2 เซนเซอร์ ตรวจวัดค่าออกซิเจนที่ออกแบบใหม่ช่วยให้ไอเสียสะอาดยิ่งขึ้น

5) การปรับโครงสร้างของเครื่องยนต์ เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงสุด (ช่วยลดการเสียดสีภายในเครื่องยนต์ลง 14%)

หมายเหตุ โดยการเปรียบเทียบระหว่างเครื่องยนต์ 110 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI ยุคใหม่ กับเครี่องยนต์ ฮอนด้า เวฟ 100

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ที่มาของ "แอโรไดนามิกส์

รถจักรยานยนต์ในปัจจุบันนี้ถูกพัฒนาให้ก้าวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีจะรุดหน้าไปเพียงไร สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการผลิตและพัฒนายานยนต์ทุกประเภทในปัจจุบันคือ เรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aerodynamics...



จะสังเกตได้ว่า รถจักรยานยนต์โดยเฉพาะรถสปอร์ต เบนเข็มไปเน้นความสนใจกันที่เรื่องของ แอโรไดนามิกส์ (Aerodynamics) มากกว่าส่วนหนึ่ง อาจจะมาถึงจุดอิ่มตัวของการพัฒนา เทคโนโลยีการเติมแรงม้าของเครื่องยนต์...



ในอดีต การออกแบบ ตามหลักการ Aerodynamics จะเน้นให้รูปทรง ลู่ลมมากที่สุด โดยเจาะจงให้โครงสร้าง คล้ายหยดน้ำ หรือทรง กระสุนปืน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ การลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานระหว่างอากาศกับการเคลื่อนตัวของวัตถุ ในขณะนั้นความไม่สูงมาก แนวคิดจึงอยู่แค่เพียงให้ รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและ พุ่งทะยาน จากจุดเริ่มต้นให้เร็วที่สุด...



หัวใจสำคัญของหลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aerodynamics มี 3 ข้อด้วยกันคือ


1. Air Speed ความเร็วลม หรือกระแสลมที่พัดสวนทาง


2. Frontal Area พื้นที่หรือพื้นผิวทางวิ่ง


3. Drag Coefficient ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของวัตถุการเคลื่อนที่
ทั้งหมดถูกเรียก รวมกันว่า ค่า C.D. หรือ Coefficient of Drags เป็นจุดร่วมต้นของ หลัก การคิด ซึ่งกลายมาเป็น กฎทางฟิสิกส์ที่เป็นขั้น ตอนของการสร้างรถจักรยานยนต์ในปัจจุบัน


การเริ่มสร้างอย่างเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นราว ค.ศ. 1920-1950 สมบูรณ์แบบเมื่อ ค.ศ. 1953กับ การแข่งขัน รถจักรยานยนต์ทางเรียบโลก โดย ถูกกำหนดให้รถแข่งทั้งหมดมีสิ่งห่อหุ้ม ซึ่งเป็นที่ มาของ แฟริ่ง (Fairings) สตรีมไลน์ (Streamlined) หรือ Aerodynamics



แต่ในปัจจุบันความเร็วที่ควบคู่มากับเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งทำให้รถจักรยานยนต์แต่ ละรุ่นมีความเร็วพุ่งทะลุเกินกว่า 340 กม./ชม. เช่น ในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ WGP. หรือแม้ กระทั้งรถซูเปอร์ไบค์ที่วางจำหน่ายอย่าง SUZUKI HAYABUSA 1300 ซีซี หรือ รถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง SUZUKI GSX-R1000 ก็ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยหลักอากาศพลศาสตร์ที่เหนือชั้นกว่าตัวแปรทั้ง 3 ข้อข้างต้นแทบทั้งนั้น

นอกเหนือจากการออกแบบตามหัวข้อซึ่งเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติขั้นต้นแล้ว ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ความกดอากาศที่เข้ามาด้านหน้า การป้องกันการยกตัวของอากาศจากด้านล่าง ตรงกันข้ามกับ หลักอากาศพล ศาสตร์ของเครื่องบิน ซึ่งปกติรถจักรยานยนต์จะออกแบบ ให้มีครีบตัดอากาศกดตัวแฟริ่งลงเพื่อป้องกันหน้า ลอย และการเปิดครีบ หรือร่องอากาศด้านหน้าเพื่อให้อากาศไหลผ่าน ส่งผลให้ การเลี้ยวเป็นไปด้วยดี ส่วน Midiron Fairings ป้องกันสิ่งต่างๆ เช่น ลมพัดมาทางด้านข้าง ตัดอากาศได้ดี หรือควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ให้คงที่ เพื่อความเสถียรในการทำงานของเครื่องยนต์ทางด้านท้ายนั้นสำคัญมากเช่นกัน..



การกดตัวลงของรถในความเร็วสูงสำคัญอย่างมาก อย่างการออกแบบของค่ายซูซูกิ เองก็แก้ทางด้วยการ ยกช่วงท้ายให้สูงขึ้น หลังจากย้ายจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง และป้องกันการหวนกลับของกาศด้านท้ายซึ่งมีผล แพ้-ชนะในการแข่งขันที่เราเรียกว่า Slipstream



ส่วนจุดเริ่มต้นการออกแบบมักนิยมใช้ไฟเบอร์ และพัฒนามาเป็นไฟเบอร์กลาสซึ่งเป็นเส้นใยสังเคราะ ห์ จนกระทั่งมาเป็นคาร์บอนไฟเอร์ และในที่สุดทุกชิ้นส่วนที่ผลิตออกจำหน่ายก็กลายมาเป็นพลาสติกหล่อขึ้น รูป นับเป็นกลยุทธ์และการออกแบบที่โดนใจจริงๆ และทั้งหมดนั้นก็เป็ที่มาของ Aerodynamics นั่นเอง...


วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฮอนด้าส่งจยย.2รุ่นใหม่สุดเจ๋งใช้หัวฉีด-เติมอี20


ข่าวในประเทศ - เอพี.ฮอนด้า เจ้าพ่อตลาดจักรยานยนต์เมืองไทย เปิดตัวรถ 2 รุ่นใหม่ CZ-I และ Click-I ชูเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ทั้งยังรองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ อี20 พร้อมเอาใจวัยโจ๋ดึง “บี้” เดอะสตาร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ดันยอดขายทุกรุ่นปีนี้ 1.15 ล้านคัน ด้านบิ๊กบอส “ซากุราอิ” หวั่นเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยพุ่ง แต่ยังเชื่อตลาดรวมฟื้น ปิดยอดถึง 1.65 ล้านคัน






เซนจิโร่ ซากุราอิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า จากการที่ บริษัทฯได้กำหนดวัตถุประสงค์ของแผนดำเนินธุรกิจในระยะเวลา 3 ปี มุ่งมั่น ก้าวขึ้นเป็นองค์กรที่มีภาพลักษณ์เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอพี.ฮอนด้าเคยประกาศนโยบายเมื่อช่วงต้นปีเกี่ยวกับการนำระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI มาใช้ในรถจักรยานยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตและจำหน่ายในเมืองไทย โดยล่าสุดเปิดตัวรถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีดรุ่นใหม่ 2 รุ่นคือ CZ-I และ Click-I ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีให้ค่าไอเสียผ่านมาตรฐานควบคุมระดับ 6 ที่จะบังคับใช้ในเร็วๆนี้ และรองรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E20




“ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI (Programmed Fuel Injection) เป็นสิทธิบัตรเทคโนโลยี เอกสิทธิ์เฉพาะของฮอนด้า โดยระบบหัวฉีด PGM-FI ใหม่นี้นับเป็นยุคที่ 3 ที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ทางฮอนด้าพัฒนาระบบหัวฉีด PGM-FI ยุคที่ 1 เมื่อปี 2546 พร้อมติดตั้งใช้งานในรุ่น Wave 125i และยุคที่ 2 พัฒนาขึ้นเมื่อปี 2548 รวมทั้งยังคงติดตั้งใช้งานในรุ่น Wave 125i”




ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจในคุณภาพของระบบหัวฉีด PGM-FI ในรถรุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้ ทางฮอนด้าจึงรับประกันอุปกรณ์ชิ้นส่วนระบบหัวฉีด PGM-FI นานถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร และเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ใช้เกี่ยวกับการรองรับในด้านบริการ โดยการจัดให้มีการฝึกอบรมหลักสูตร PGM-FI ให้ศูนย์บริการฮอนด้ากว่า 1,428 แห่ง ทั่วประเทศ ตลอดจนถึงร้านซ่อมทั่วไปถึง 5,919 แห่ง เพื่อสามารถให้บริการอย่างครอบคลุมและทั่วถึง




นายซากุราอิ กล่าวต่อว่า ด้านการจำหน่ายรถฮอนด้ารุ่น CZ-i 110 มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 26 กรกฎาคมนี้ ด้วยราคาพิเศษช่วงแนะนำ 36,700 บาท ขณะที่รุ่น Click-i รถ เอ.ที. แบบหัวฉีดรุ่นแรกของไทย จะวางจำหน่าย 6 สิงหาคมนี้ พร้อมราคาพิเศษช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 45,700 บาท ซึ่งรถรุ่นนี้มี “บี้ – สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ CZ-i 110 วางเป้าหมายจำหน่าย 8,000 คัน/เดือน ส่วน Click-i ตั้งเป้า 25,000 คัน/เดือน




มาทำความรู้จักกับระบบขับวาล์วแบบ เดสโมดรอมิก กันดีกว่า






เพื่อนๆ คงรู้จักกับรถมอเตอร์ไซค์ สัญชาติอิตาลี ยี่ห้อ DUCATI กันบ้างแล้วนะครับ โดยมอเตอร์ไซค์ดูคาติ นี้ เป็นรถมอเตอร์ไซค์ระดับสูง ราคาแพง สมรรถนะเยี่ยมยอด เนื่องมาจากอุปกรณ์ที่ติดรถมาให้จากโรงงานนั้น การันตีได้ว่า "เจ๋ง" เช่น เบรคเบรมโบ้ ช็อคอัพโอลินห์ เป็นต้น แต่นอกจากอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว สิ่งที่ทำให้รถดูคาติ มีสมรรถนะที่ดีก็มาจากเครื่องยนต์ด้วย โดยจะเห็นได้ว่ามอเตอร์ไซค์ยี่ห้อนี้ คว้าแชมป์โลกเวิร์ล ซูเปอร์ไบค์ มาได้หลายสมัยทีเดียว แสดงว่าเครื่องยนต์ของค่ายนี้ต้องมีดีอะไรแน่ๆ แต่ของดีอย่างหนึ่งจะที่มาเล่าสู่กันฟังก็คือ ระบบขับวาล์วแบบ "เดสโมดรอมิก" (Desmodromic) นั่นเอง


โดยปกติ รถมอเตอร์ไซค์โดยทั่วไป จะใช้โซ่ , สายพาน , เฟือง(ระบบแคมเกียร์เทรนของฮอนด้า) หรือก้านกระทุ้ง ในการขับเคลื่อนแคมชาร์ฟและวาล์ว ซึ่งระบบที่ว่ามานี้ จะต้องใช้สปริง เป็นตัวทำให้วาล์วที่ถูกกดในจังหวะเปิดนั้น เด้งคืนตัวขึ้นมาเป็นจังหวะปิดของวาล์ว ซึ่งจากการที่จะต้องใช้สปริงที่ว่ามานี้ ทำให้เครื่องยนต์ต้องสูญเสียแรงส่วนหนึ่ง มาใช้ในการสู้กับแรงต้านของสปริงวาล์ว และในขณะที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ วาล์วจะปิดตัวไม่ทันจากการที่สปริงไม่สามารถคืนตัว ได้ทันกับความเร็วรอบของเครื่อง ส่งผลเสียต่อสมรรถนะเครื่องยนต์โดยตรง ระบบขับวาล์วแบบเดสโมดรอมิก จึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยจะใช้ "เพลา" มาเป็นตัวขับเคลื่อนแคมชาร์ฟ และระบบนี้ "ไม่ต้องใช้สปริงวาล์ว" เนื่องมาจากกลไกกระเดื่องกดวาล์ว ที่พิเศษกว่าชาวบ้าน คือ จะเป็นระบบ "กระเดื่องคู่" หรือ วาล์วหนึ่งตัวต่อกระเดื่องกดวาล์ว 2 ตัว ฮั่นแน่….งงล่ะซิ ว่ามีไปทำไมตั้งสองตัว ก็อย่างที่บอกไปแล้วล่ะครับว่า ระบบนี้ไม่มีสปริงวาล์ว จึงต้องใช้กระเดื่องสองตัว ตัวนึงเอาไว้เปิดวาล์ว อีกตัวนึงเอาไว้ปิดวาล์ว (ภาพที่ 1) ดูจากภาพจะเห็นได้ว่า มีกระเดื่องมาสวมอยู่กับวาล์วสองตัว บนและล่าง ซึ่งตัวบนจะทำหน้าที่เปิดวาล์ว ส่วนตัวล่างจะเป็นตัวคอยปิดวาล์วนั่นเอง ดูให้ชัดๆ กันใน ภาพที่ 2 หมายเลข 1 คือกระเดื่องวาล์วตัวบนที่คอยเอาไว้เปิดวาล์ว ส่วนหมายเลข 5 คือกระเดื่องตัวล่างที่เอาไว้ปิดวาล์ว ส่วนหมายเลข 6 นั่นคือก้านวาล์ว นั่นเอง โดยขณะทำงาน กระเดื่องตัวบนจะถูกกดลงทำให้วาล์วเปิด และเมื่อกระเดื่องตัวล่างถูกดันให้ยกขึ้น วาล์วก็จะยกตัวปิด คงพอเข้าใจนะครับ…… ซึ่งข้อดีของระบบนี้คือ การเปิดปิดวาล์วที่แม่นยำ และไม่กินแรงเครื่องยนต์นั่นเองเอาล่ะครับ พิมพ์กันมาจนเมื่อยนิ้วแล้ว คงจะทำให้เพื่อนๆ รู้จักเจ้าระบบขับวาล์วแบบนี้กันมากขึ้นนะครับ และระบบนี้ก็เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทางดูคาติเขา เราจึงไม่เห็นยี่ห้ออื่นเขาใช้ระบบขับวาล์วแบบนี้กันนั่นเอง
ข้อมูลจาก http://thaimocy.com/index.asp

รถจักรยานยนต์หัวฉีด



เอพี. ลงเครื่องหัวฉีดชูข้อดีประหยัดน้ำมัน


ฮอนด้าเริ่มต้นพัฒนาระบบหัวฉีด PGM FI ด้วยการนำมาใช้ในรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (Big Bike) ตลอดจนถึงรถแข่งระดับโลก World Grand Prix และเทคโนโลยีล่าสุดกับรุ่น CBR 600RR และ1000RR พร้อมกับมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานในรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นทุกประเภท อันเป็นการปฏิวัติการขับขี่ยุคใหม่ที่ห่วงใยในสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใส่ใจต่อความประหยัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM FI (Programmed Fuel Injection) ที่ใช้ในรถจักรยานยนต์ฮอนด้าหลากหลายรุ่นมีคุณสมบัติเด่นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมทั้งให้ไอเสียสะอาดกว่าเดิม

ทั้งนี้ ฮอนด้าเริ่มนำระบบหัวฉีด PGM FI มาใช้ในรถจักรยานยนต์รุ่น ฮอนด้า Wave 125i รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเป็นรุ่นแรกในเมืองไทย ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายเมื่อปี 2546 โดยมีเครื่องยนต์ขนาด 125 ซีซี 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ นับเป็นจุดเริ่มต้นยุคเทคโนโลยีหัวฉีดในวงการรถจักรยานยนต์ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เอพี.ฮอนด้าวางแผนขยายการติดตั้งระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM FI ให้ครอบคลุมในรถจักรยานยนต์ทุกรุ่นภายในปีหน่าและจะเลิกการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ไปโดยปริยาย เพื่อสร้างมาตรฐานและก้าวสู่การขับขี่ยุคใหม่ของรถจักรยานยนต์


วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แนะนำตัวคับ


สวัสดีคับ


ผมโดมนะคับ


นี่เป็น blog แรกของผมเลยนะคับ


มีอะไรแนะนำเชิญตามสบายคับ

แนะนำตัวคับ


สวัสดีคร้าบ


ผม โดมนะคับ


นี่เป็น blog แรกของผมเลยนะครับ


มือใหม่อ่ะคับ


เชิญติชมได้เลยนะครับ


ขอบคุณคับ

แนะนำกันก่อน


สวัสดีคับ


ผมโดมนะคับ


มือใหม่สำหรับการสร้าง blog คับ


มีอะไรก้อแนะนำผมด้วยนะคร้าบ