วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รถจักรยานยนต์ฮอนด้าภายใต้แนวคิด “i love Freedom”

แนวความคิดในการนำเสนอบู๊ธรถจักรยานยนต์ Hondaฮอนด้าในฐานะผู้นำเทคโนโลยีรถจักรยานยนต์ มีความมุ่งมั่นในการนำเสนอรูปแบบชีวิตที่เติมเต็มความเป็นอิสระอย่างไร้ขีดจำกัดให้กับทุกๆคน ผ่านทางนวัตกรรมรถจักรยานยนต์ที่ไม่ได้เป็นเพียงยานพาหนะเพื่อการเดินทางในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ยังปรารถนาให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสถึงความสนุก ความประทับใจ และความสดชื่นของสายลมธรรมชาติในระหว่างการขับขี่อย่างอิสระบนรถจักรยานยนต์ฮอนด้าอีกด้วย เราจึงให้ความสำคัญและทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งความปลอดภัย สะท้อนผ่านแนวคิด “i love Freedom” กับความคิดอิสระและความตั้งใจจริงของฮอนด้าที่จะพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความพึงพอใจสูงสุดของทุกคน และเพื่อความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ไปกับเทคโนโลยี PGM-FI อันเป็นเทคโนโลยีระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อการขับขี่อย่างสมบูรณ์แบบ


รูปแบบความอิสระเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าของบู๊ธรถจักรยานยนต์ฮอนด้าด้วยแนวคิด “i love Freedom” กับอิสระที่จะนำทุกท่านไปพบกับการเดินทางเพื่อค้นหาความเป็นตัวเองและค้นพบสิ่งดีๆ อีกมากมาย ภายใต้บรรยากาศของบู๊ธรูปแบบใหม่ “Cloud” หรือ “กลุ่มเฆม” ที่ดีไซน์จากรูปร่าง แถบโมเบียส (Mobius Strip) วัตถุที่ได้ชื่อว่า “ไม่มีด้านสิ้นสุด” สะท้อนความอิสระของการขับขี่ที่ได้จากเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ของฮอนด้า ที่ภายในออกแบบให้ซึมซับกับบรรยากาศของเทคโนโลยีได้เป็นอย่างดี และภายนอกมีท้องฟ้าเป็นฉากหลังให้ผู้เข้ามาสัมผัสได้รู้สึกถึงประสบการณ์ความอิสระได้อย่างไร้ขีดจำกัด กับการเปลี่ยนผ่านไปสู่เทคโนโลยียุคใหม่ล่าสุด PGM-FI เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่านอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ที่ได้นำสถาปนิกฝีมืออันดับ 1 ใน 5 ของประเทศ คุณดวงฤทธิ์ บุนนาค จาก บริษัท Duangrit Bunnag Architecht Limited มาออกแบบบู๊ธรถจักรยานยนต์ฮอนด้า ซึ่งภายในบู๊ธประกอบด้วยโซนต่างๆ มากมายถึง 7 โซน ที่ต่างล้วนสะท้อนความเป็นอิสระที่จะได้รับจากรถจักรยานยนต์ฮอนด้า


โซน : I Love Earth.

การนำเสนอมาตรฐานใหม่สำหรับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นในอนาคต ซึ่งจะมาปฎิวัติวงการรถจักรยานยนต์ ด้วยเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ยุคใหม่ล่าสุด ที่สมบูรณ์และมีศักยภาพสูงสุด สามารถตอบสนองทุกความต้องการของทั้งคน สิ่งแวดล้อม และเพื่อโลกที่เรารักใบนี้ ด้วยจุดเด่น

1) ช่วยเพิ่มสมรรถนะให้เครื่องยนต์สูงขึ้นถึง 20%*

2) ประหยัดเชื้อเพลิงได้มากกว่าเดิม 15%*

3) ให้ค่าไอเสียที่ต่ำกว่ามาตรฐานไอเสียถึง 80%* ด้วยสุดยอดเทคโนโลยีจากรถแข่งในสนามระดับโลก ควบคุมการทำงานโดยหน่วยประมวลผลอัจฉริยะ ECU (Engine Control Unit) และเซนเซอร์ทั้ง 5 จุด เพื่อช่วยคำนวณการจ่ายน้ำมันได้อย่างแม่นยำ

4) เทคโนโลยีล่าสุด O2 เซนเซอร์ ตรวจวัดค่าออกซิเจนที่ออกแบบใหม่ช่วยให้ไอเสียสะอาดยิ่งขึ้น

5) การปรับโครงสร้างของเครื่องยนต์ เพื่อให้การทำงานของเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพสูงสุด (ช่วยลดการเสียดสีภายในเครื่องยนต์ลง 14%)

หมายเหตุ โดยการเปรียบเทียบระหว่างเครื่องยนต์ 110 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI ยุคใหม่ กับเครี่องยนต์ ฮอนด้า เวฟ 100

วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ที่มาของ "แอโรไดนามิกส์

รถจักรยานยนต์ในปัจจุบันนี้ถูกพัฒนาให้ก้าวอย่างรวดเร็ว แต่ไม่ว่าเทคโนโลยีจะรุดหน้าไปเพียงไร สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการผลิตและพัฒนายานยนต์ทุกประเภทในปัจจุบันคือ เรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aerodynamics...



จะสังเกตได้ว่า รถจักรยานยนต์โดยเฉพาะรถสปอร์ต เบนเข็มไปเน้นความสนใจกันที่เรื่องของ แอโรไดนามิกส์ (Aerodynamics) มากกว่าส่วนหนึ่ง อาจจะมาถึงจุดอิ่มตัวของการพัฒนา เทคโนโลยีการเติมแรงม้าของเครื่องยนต์...



ในอดีต การออกแบบ ตามหลักการ Aerodynamics จะเน้นให้รูปทรง ลู่ลมมากที่สุด โดยเจาะจงให้โครงสร้าง คล้ายหยดน้ำ หรือทรง กระสุนปืน ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ การลดค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานระหว่างอากาศกับการเคลื่อนตัวของวัตถุ ในขณะนั้นความไม่สูงมาก แนวคิดจึงอยู่แค่เพียงให้ รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าและ พุ่งทะยาน จากจุดเริ่มต้นให้เร็วที่สุด...



หัวใจสำคัญของหลักอากาศพลศาสตร์ หรือ Aerodynamics มี 3 ข้อด้วยกันคือ


1. Air Speed ความเร็วลม หรือกระแสลมที่พัดสวนทาง


2. Frontal Area พื้นที่หรือพื้นผิวทางวิ่ง


3. Drag Coefficient ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานของวัตถุการเคลื่อนที่
ทั้งหมดถูกเรียก รวมกันว่า ค่า C.D. หรือ Coefficient of Drags เป็นจุดร่วมต้นของ หลัก การคิด ซึ่งกลายมาเป็น กฎทางฟิสิกส์ที่เป็นขั้น ตอนของการสร้างรถจักรยานยนต์ในปัจจุบัน


การเริ่มสร้างอย่างเป็นรูปธรรมเกิดขึ้นราว ค.ศ. 1920-1950 สมบูรณ์แบบเมื่อ ค.ศ. 1953กับ การแข่งขัน รถจักรยานยนต์ทางเรียบโลก โดย ถูกกำหนดให้รถแข่งทั้งหมดมีสิ่งห่อหุ้ม ซึ่งเป็นที่ มาของ แฟริ่ง (Fairings) สตรีมไลน์ (Streamlined) หรือ Aerodynamics



แต่ในปัจจุบันความเร็วที่ควบคู่มากับเทคโนโลยีที่รุดหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้งทำให้รถจักรยานยนต์แต่ ละรุ่นมีความเร็วพุ่งทะลุเกินกว่า 340 กม./ชม. เช่น ในการแข่งขันรถจักรยานยนต์ทางเรียบ WGP. หรือแม้ กระทั้งรถซูเปอร์ไบค์ที่วางจำหน่ายอย่าง SUZUKI HAYABUSA 1300 ซีซี หรือ รถซูเปอร์สปอร์ตอย่าง SUZUKI GSX-R1000 ก็ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยหลักอากาศพลศาสตร์ที่เหนือชั้นกว่าตัวแปรทั้ง 3 ข้อข้างต้นแทบทั้งนั้น

นอกเหนือจากการออกแบบตามหัวข้อซึ่งเป็นกฎที่ต้องปฏิบัติขั้นต้นแล้ว ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ความกดอากาศที่เข้ามาด้านหน้า การป้องกันการยกตัวของอากาศจากด้านล่าง ตรงกันข้ามกับ หลักอากาศพล ศาสตร์ของเครื่องบิน ซึ่งปกติรถจักรยานยนต์จะออกแบบ ให้มีครีบตัดอากาศกดตัวแฟริ่งลงเพื่อป้องกันหน้า ลอย และการเปิดครีบ หรือร่องอากาศด้านหน้าเพื่อให้อากาศไหลผ่าน ส่งผลให้ การเลี้ยวเป็นไปด้วยดี ส่วน Midiron Fairings ป้องกันสิ่งต่างๆ เช่น ลมพัดมาทางด้านข้าง ตัดอากาศได้ดี หรือควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนต์ ให้คงที่ เพื่อความเสถียรในการทำงานของเครื่องยนต์ทางด้านท้ายนั้นสำคัญมากเช่นกัน..



การกดตัวลงของรถในความเร็วสูงสำคัญอย่างมาก อย่างการออกแบบของค่ายซูซูกิ เองก็แก้ทางด้วยการ ยกช่วงท้ายให้สูงขึ้น หลังจากย้ายจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลง และป้องกันการหวนกลับของกาศด้านท้ายซึ่งมีผล แพ้-ชนะในการแข่งขันที่เราเรียกว่า Slipstream



ส่วนจุดเริ่มต้นการออกแบบมักนิยมใช้ไฟเบอร์ และพัฒนามาเป็นไฟเบอร์กลาสซึ่งเป็นเส้นใยสังเคราะ ห์ จนกระทั่งมาเป็นคาร์บอนไฟเอร์ และในที่สุดทุกชิ้นส่วนที่ผลิตออกจำหน่ายก็กลายมาเป็นพลาสติกหล่อขึ้น รูป นับเป็นกลยุทธ์และการออกแบบที่โดนใจจริงๆ และทั้งหมดนั้นก็เป็ที่มาของ Aerodynamics นั่นเอง...


วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฮอนด้าส่งจยย.2รุ่นใหม่สุดเจ๋งใช้หัวฉีด-เติมอี20


ข่าวในประเทศ - เอพี.ฮอนด้า เจ้าพ่อตลาดจักรยานยนต์เมืองไทย เปิดตัวรถ 2 รุ่นใหม่ CZ-I และ Click-I ชูเทคโนโลยีหัวฉีด PGM-FI ทั้งยังรองรับน้ำมันแก็สโซฮอล์ อี20 พร้อมเอาใจวัยโจ๋ดึง “บี้” เดอะสตาร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ ดันยอดขายทุกรุ่นปีนี้ 1.15 ล้านคัน ด้านบิ๊กบอส “ซากุราอิ” หวั่นเงินเฟ้อ-ดอกเบี้ยพุ่ง แต่ยังเชื่อตลาดรวมฟื้น ปิดยอดถึง 1.65 ล้านคัน






เซนจิโร่ ซากุราอิ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด กล่าวว่า จากการที่ บริษัทฯได้กำหนดวัตถุประสงค์ของแผนดำเนินธุรกิจในระยะเวลา 3 ปี มุ่งมั่น ก้าวขึ้นเป็นองค์กรที่มีภาพลักษณ์เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด ควบคู่ไปกับการเป็นผู้นำที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเอพี.ฮอนด้าเคยประกาศนโยบายเมื่อช่วงต้นปีเกี่ยวกับการนำระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI มาใช้ในรถจักรยานยนต์ทุกรุ่นที่ผลิตและจำหน่ายในเมืองไทย โดยล่าสุดเปิดตัวรถจักรยานยนต์ระบบหัวฉีดรุ่นใหม่ 2 รุ่นคือ CZ-I และ Click-I ซึ่งทั้ง 2 รุ่นมีให้ค่าไอเสียผ่านมาตรฐานควบคุมระดับ 6 ที่จะบังคับใช้ในเร็วๆนี้ และรองรับการใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์ E20




“ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM-FI (Programmed Fuel Injection) เป็นสิทธิบัตรเทคโนโลยี เอกสิทธิ์เฉพาะของฮอนด้า โดยระบบหัวฉีด PGM-FI ใหม่นี้นับเป็นยุคที่ 3 ที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ทางฮอนด้าพัฒนาระบบหัวฉีด PGM-FI ยุคที่ 1 เมื่อปี 2546 พร้อมติดตั้งใช้งานในรุ่น Wave 125i และยุคที่ 2 พัฒนาขึ้นเมื่อปี 2548 รวมทั้งยังคงติดตั้งใช้งานในรุ่น Wave 125i”




ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและไว้ใจในคุณภาพของระบบหัวฉีด PGM-FI ในรถรุ่นใหม่ทั้ง 2 รุ่นนี้ ทางฮอนด้าจึงรับประกันอุปกรณ์ชิ้นส่วนระบบหัวฉีด PGM-FI นานถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร และเพิ่มความอุ่นใจให้กับผู้ใช้เกี่ยวกับการรองรับในด้านบริการ โดยการจัดให้มีการฝึกอบรมหลักสูตร PGM-FI ให้ศูนย์บริการฮอนด้ากว่า 1,428 แห่ง ทั่วประเทศ ตลอดจนถึงร้านซ่อมทั่วไปถึง 5,919 แห่ง เพื่อสามารถให้บริการอย่างครอบคลุมและทั่วถึง




นายซากุราอิ กล่าวต่อว่า ด้านการจำหน่ายรถฮอนด้ารุ่น CZ-i 110 มีกำหนดวางจำหน่ายวันที่ 26 กรกฎาคมนี้ ด้วยราคาพิเศษช่วงแนะนำ 36,700 บาท ขณะที่รุ่น Click-i รถ เอ.ที. แบบหัวฉีดรุ่นแรกของไทย จะวางจำหน่าย 6 สิงหาคมนี้ พร้อมราคาพิเศษช่วงแนะนำเริ่มต้นที่ 45,700 บาท ซึ่งรถรุ่นนี้มี “บี้ – สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ทั้งนี้ CZ-i 110 วางเป้าหมายจำหน่าย 8,000 คัน/เดือน ส่วน Click-i ตั้งเป้า 25,000 คัน/เดือน




มาทำความรู้จักกับระบบขับวาล์วแบบ เดสโมดรอมิก กันดีกว่า






เพื่อนๆ คงรู้จักกับรถมอเตอร์ไซค์ สัญชาติอิตาลี ยี่ห้อ DUCATI กันบ้างแล้วนะครับ โดยมอเตอร์ไซค์ดูคาติ นี้ เป็นรถมอเตอร์ไซค์ระดับสูง ราคาแพง สมรรถนะเยี่ยมยอด เนื่องมาจากอุปกรณ์ที่ติดรถมาให้จากโรงงานนั้น การันตีได้ว่า "เจ๋ง" เช่น เบรคเบรมโบ้ ช็อคอัพโอลินห์ เป็นต้น แต่นอกจากอุปกรณ์เหล่านี้แล้ว สิ่งที่ทำให้รถดูคาติ มีสมรรถนะที่ดีก็มาจากเครื่องยนต์ด้วย โดยจะเห็นได้ว่ามอเตอร์ไซค์ยี่ห้อนี้ คว้าแชมป์โลกเวิร์ล ซูเปอร์ไบค์ มาได้หลายสมัยทีเดียว แสดงว่าเครื่องยนต์ของค่ายนี้ต้องมีดีอะไรแน่ๆ แต่ของดีอย่างหนึ่งจะที่มาเล่าสู่กันฟังก็คือ ระบบขับวาล์วแบบ "เดสโมดรอมิก" (Desmodromic) นั่นเอง


โดยปกติ รถมอเตอร์ไซค์โดยทั่วไป จะใช้โซ่ , สายพาน , เฟือง(ระบบแคมเกียร์เทรนของฮอนด้า) หรือก้านกระทุ้ง ในการขับเคลื่อนแคมชาร์ฟและวาล์ว ซึ่งระบบที่ว่ามานี้ จะต้องใช้สปริง เป็นตัวทำให้วาล์วที่ถูกกดในจังหวะเปิดนั้น เด้งคืนตัวขึ้นมาเป็นจังหวะปิดของวาล์ว ซึ่งจากการที่จะต้องใช้สปริงที่ว่ามานี้ ทำให้เครื่องยนต์ต้องสูญเสียแรงส่วนหนึ่ง มาใช้ในการสู้กับแรงต้านของสปริงวาล์ว และในขณะที่ใช้รอบเครื่องยนต์สูงๆ วาล์วจะปิดตัวไม่ทันจากการที่สปริงไม่สามารถคืนตัว ได้ทันกับความเร็วรอบของเครื่อง ส่งผลเสียต่อสมรรถนะเครื่องยนต์โดยตรง ระบบขับวาล์วแบบเดสโมดรอมิก จึงเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยจะใช้ "เพลา" มาเป็นตัวขับเคลื่อนแคมชาร์ฟ และระบบนี้ "ไม่ต้องใช้สปริงวาล์ว" เนื่องมาจากกลไกกระเดื่องกดวาล์ว ที่พิเศษกว่าชาวบ้าน คือ จะเป็นระบบ "กระเดื่องคู่" หรือ วาล์วหนึ่งตัวต่อกระเดื่องกดวาล์ว 2 ตัว ฮั่นแน่….งงล่ะซิ ว่ามีไปทำไมตั้งสองตัว ก็อย่างที่บอกไปแล้วล่ะครับว่า ระบบนี้ไม่มีสปริงวาล์ว จึงต้องใช้กระเดื่องสองตัว ตัวนึงเอาไว้เปิดวาล์ว อีกตัวนึงเอาไว้ปิดวาล์ว (ภาพที่ 1) ดูจากภาพจะเห็นได้ว่า มีกระเดื่องมาสวมอยู่กับวาล์วสองตัว บนและล่าง ซึ่งตัวบนจะทำหน้าที่เปิดวาล์ว ส่วนตัวล่างจะเป็นตัวคอยปิดวาล์วนั่นเอง ดูให้ชัดๆ กันใน ภาพที่ 2 หมายเลข 1 คือกระเดื่องวาล์วตัวบนที่คอยเอาไว้เปิดวาล์ว ส่วนหมายเลข 5 คือกระเดื่องตัวล่างที่เอาไว้ปิดวาล์ว ส่วนหมายเลข 6 นั่นคือก้านวาล์ว นั่นเอง โดยขณะทำงาน กระเดื่องตัวบนจะถูกกดลงทำให้วาล์วเปิด และเมื่อกระเดื่องตัวล่างถูกดันให้ยกขึ้น วาล์วก็จะยกตัวปิด คงพอเข้าใจนะครับ…… ซึ่งข้อดีของระบบนี้คือ การเปิดปิดวาล์วที่แม่นยำ และไม่กินแรงเครื่องยนต์นั่นเองเอาล่ะครับ พิมพ์กันมาจนเมื่อยนิ้วแล้ว คงจะทำให้เพื่อนๆ รู้จักเจ้าระบบขับวาล์วแบบนี้กันมากขึ้นนะครับ และระบบนี้ก็เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของทางดูคาติเขา เราจึงไม่เห็นยี่ห้ออื่นเขาใช้ระบบขับวาล์วแบบนี้กันนั่นเอง
ข้อมูลจาก http://thaimocy.com/index.asp

รถจักรยานยนต์หัวฉีด



เอพี. ลงเครื่องหัวฉีดชูข้อดีประหยัดน้ำมัน


ฮอนด้าเริ่มต้นพัฒนาระบบหัวฉีด PGM FI ด้วยการนำมาใช้ในรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ (Big Bike) ตลอดจนถึงรถแข่งระดับโลก World Grand Prix และเทคโนโลยีล่าสุดกับรุ่น CBR 600RR และ1000RR พร้อมกับมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถรองรับการใช้งานในรถจักรยานยนต์ฮอนด้าทุกรุ่นทุกประเภท อันเป็นการปฏิวัติการขับขี่ยุคใหม่ที่ห่วงใยในสิ่งแวดล้อม รวมทั้งใส่ใจต่อความประหยัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบัน ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น

ระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM FI (Programmed Fuel Injection) ที่ใช้ในรถจักรยานยนต์ฮอนด้าหลากหลายรุ่นมีคุณสมบัติเด่นด้านการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์ให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น รวมทั้งให้ไอเสียสะอาดกว่าเดิม

ทั้งนี้ ฮอนด้าเริ่มนำระบบหัวฉีด PGM FI มาใช้ในรถจักรยานยนต์รุ่น ฮอนด้า Wave 125i รถจักรยานยนต์แบบครอบครัวเป็นรุ่นแรกในเมืองไทย ซึ่งเริ่มวางจำหน่ายเมื่อปี 2546 โดยมีเครื่องยนต์ขนาด 125 ซีซี 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยอากาศ นับเป็นจุดเริ่มต้นยุคเทคโนโลยีหัวฉีดในวงการรถจักรยานยนต์ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม เอพี.ฮอนด้าวางแผนขยายการติดตั้งระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด PGM FI ให้ครอบคลุมในรถจักรยานยนต์ทุกรุ่นภายในปีหน่าและจะเลิกการจำหน่ายรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์คาร์บูเรเตอร์ไปโดยปริยาย เพื่อสร้างมาตรฐานและก้าวสู่การขับขี่ยุคใหม่ของรถจักรยานยนต์


วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แนะนำตัวคับ


สวัสดีคับ


ผมโดมนะคับ


นี่เป็น blog แรกของผมเลยนะคับ


มีอะไรแนะนำเชิญตามสบายคับ

แนะนำตัวคับ


สวัสดีคร้าบ


ผม โดมนะคับ


นี่เป็น blog แรกของผมเลยนะครับ


มือใหม่อ่ะคับ


เชิญติชมได้เลยนะครับ


ขอบคุณคับ

แนะนำกันก่อน


สวัสดีคับ


ผมโดมนะคับ


มือใหม่สำหรับการสร้าง blog คับ


มีอะไรก้อแนะนำผมด้วยนะคร้าบ